อาการไร้ความเก่ง: impostor syndrome (บทความสุขภาพจิต) เคยไหม? ที่มักสงสัยและไร้ความภูมิใจในความสำเร็จของตนเอง เคยไหม? ที่ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จอะไรเลย เคยไหม? ที่เชื่อว่าความสำเร็จที่ได้มาเกิดจากจังหวะดีและโชคช่วย เคยไหม? ที่มองว่าตัวเองไร้ความสามารถหรือความสามารถน้อย เคยไหม? ที่มองว่าตนเองตั้งเป้าหมายแบบเพ้อฝันสูงเกินความจริง เคยไหม? ที่มองว่าตนเองไม่ใช่คนเก่งอะไรเลย เคยไหม? ที่มักใส่ใจแต่สิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จแล้วหงุดหงิดและวิตกกังวล เคยไหม? ที่มักไร้ความมั่นใจในตนเองทั้งๆที่ภายนอกดูสมบูรณ์แบบ เคยไหม? ขณะที่ขึ้นรับรางวัลแล้วรู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทาง หากเคยพบอาการเหล่านั้นแสดงว่าคุณมีแนวโน้มป่วยด้านสุขภาพจิตด้วยกลุ่มอาการที่รู้สึกว่าตนเองไร้ความเก่งและไร้ความสำเร็จหรือ impostor syndrome และผู้ที่ค้นพบกลุ่มอาการเหล่านี้คือนักจิตวิทยาคลีนิคชื่อ Paulive Rose Clance และ Suzanne Imes เมื่อประมาณปี1978 และมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คนที่มีกลุ่มอาการเหล่านี้ ส่วนใหญ่คือคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ (Perfectionists ) และประสบความสำเร็จในชีวิต ยิ่งประสบความสำเร็จสูงยิ่งมีโอกาสเป็นสูง เช่นผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆทั้งทางวิชาชีพและวิชาการ ยิ่งประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลยิ่งจะกังวลว่าตัวเองไม่เก่งและไม่สมควรได้รับรางวัลนั้น ทั้งยังกังวลว่าคนอื่นจะคิดว่าตนเองไม่เก่งอีกต่างหาก เป็นคนที่ไร้ความภาคภูมิใจในชีวิต เป็นความรู้สึกที่ฝังแน่นแก้ไขยาก แต่สามารถอยู่กับกลุ่มอาการเหล่านี้ด้วยความเข้าใจแล้วมีความสุขมากกว่าเดิมได้ และในอดีตที่ผู้หญิงยังมีโอกาสน้อยในสังคมมักพบกลุ่มอาการเหล่านี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายแต่ปัจจุบันพบในปริมาณใกล้เคียงกันและพบได้ทุกวัย สาเหตุของกลุ่มอาการเหล่านี้ มักจะเกิดจากการเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็กที่พ่อแม่ผู้ปกครองคาดหวังความสำเร็จสูงของลูกและบุคคลในครอบครัว ยิ่งหากเลี้ยงดูมาโดยไม่ให้คุณค่าและไม่ชื่นชมในความสำเร็จและความพยายามต่างๆของเด็กแล้ว เด็กก็จะไม่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จและภาคภูมิใจทั้งๆที่ตนเองเป็นคนเก่งและประสบความสำเร็จ และการถูกตรีตรา(labeling)ว่าเป็นคนโง่หรือไม่เก่ง จะเป็นรอยด่างลึกทางจิตใจที่ฝังแน่นมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ นอกจากนั้นการเลี้ยงดูประเภทปกป้องและช่วยเหลือลูกมากจนเกินไป หรือ สมบูรณ์แบบเกินไปก็เป็นสิ่งที่ปลูกฝังให้เด็กๆเติบโตมาเป็นกลุ่มอาการไร้ความรู้สึกเก่งนี้ได้เช่นกัน ผลกระทบจากอาการจะทำให้บุคคลไร้ความภาคภูมิใจในตนเอง ไร้ความมั่นใจในการดำรงชีวิตและการงาน อาจส่งผลให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลสูงแก่ตนเอง ทั้งยังอาจทำให้ไม่ไว้วางใจในทีมงาน และระแวงผู้อื่นว่าจะทำงานไม่ดี เพราะตนเองเป็นคนที่มีมารตรฐานสูงและการทำงานที่สมบูรณ์แบบนั่นเอง ส่วนผลกระทบที่สำคัญทางความคิดคือ หากคิดว่าความสำเร็จที่ได้มาเกิดจากโชคช่วยหรือจังหวะดีนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของความคิดบิดเบือน(Thingking Errors) ที่เรียกว่า disqualifying or discounting the positive คือการไม่พอใจและไม่ภาคภูมิใจในสิ่งดีที่ตนมีอยู่หรือเป็นอยู่เพราะไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ดีมากกว่า และความคิดแบบ mental filter คือการเลือกที่จะเชื่อหรือคิดในสิ่งที่ตนเองมีความเชื่อและความคิดอยู่แล้วโดยเฉพาะคิดและเชื่อว่าตนเองไม่เก่งนั่นเอง สุดท้ายมักคิดแบบ mind reading คือ การสรุปหรือการเดาในทางลบเกี่ยวกับความคิดโดยไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน โดยเฉพาะเดาว่าตนเองไร้ความสามารถและไม่เหมาะสมกับความสำเร็จที่ได้มา ความคิดบิดเบือนทั้งสามประเภทสัมพันธ์กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ดังนั้นผู้ที่คิดว่าตนเองไร้ความเก่ง ไร้ความสามารถ และไร้ความภาคภูมิใจ จึงมีแนวโน้มสูงที่จะป่วยด้วยโรคซึมเศร้าในที่สุด วิธีป้องกันและแก้ไขกลุ่มอาการ impostor syndrome 1) เลี้ยวดูลูกถูกวิธี ควรเลี้ยงดูลูกหลานด้วยความรักความอบอุ่นและสนับสนุนให้เขาได้แสดงออกที่เหมาะสมพร้อมทั้งได้รับการชื่นชมในความสำเร็จและความพยายามในสิ่งต่างๆที่เขาทำได้ จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ว่าเมื่อมีความพยายามหรือเมื่อพบความสำเร็จเขาคือคนเก่งและได้รับความภาคภูมิใจในชีวิตและการชื่นชมยินดีจากผู้อื่น จะเป็นการฝึกสั่งสมความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนเก่งและน่าภาคภูมิใจนั่นเอง 2) จดบันทึกความสำเร็จในชีวิต การบันทึกความสำเร็จและความภาคภูมิใจต่างๆในชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยปัจจุบันว่ามีความสำเร็จอะไรและอย่างไร เช่นไปรับรางวัลอะไร ได้รับการชื่นชมยินดีและยอมรับนับถือในเรื่องอะไรและอย่างไร ให้เขียนออกมาเป็นข้อๆและเป็นเรื่องๆไปพร้อมคำบรรยาย และหมั่นนำมาอ่านใคร่ครวญก่อนนอนทุกคืนตามที่สดวก เพื่อให้ตอกย้ำความเป็นคนเก่งจริงๆของตนเองสม่ำเสมอทุกๆวัน 3)มองโลกและตนเองด้านดี สืบเนื่องจากการที่ได้อธิบายมาแต่ต้นว่าคนที่รู้สึกว่าตนเองไม่เก่งนั้น มักจะมีความคิดบิดเบือนอยู่สามรูปแบบซึ่งก็ถือว่าเป็นความคิดลบทั้งสิ้น ที่จะส่งผลต่อความรู้สึกซึมเศร้าจนถึงขั้นป่วยได้ ดังนั้นการฝึกมองตนเองและมองโลกในด้านดีคือมองเห็นคุณค่า มองเห็นความหวัง มองเห็นประโยชน์ และมองเห็นความหมายที่ดีงามของตนเองให้มากๆ จะส่งผลให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเองได้ อนึ่งการพูดกับตนเองว่า “ฉันเป็นคนเก่ง ฉันเป็นคนดี ฉันมีความสามารถ” อย่างสม่ำเสมอทุกวัน ตามหลักจิตวิทยา neurolinguistic programming หรือ NLP นั้นจะสามารถช่วยได้อีกแนวทางหนึ่ง 4)เปรียบเทียบความคิดกับความจริง การเปรียบเทียบความคิดกับความจริงในที่นี้คือการให้ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองไม่เก่งเขียนความคิดของตนเองออกมา ที่บอกว่าไม่เก่งนั้นไม่เก่งอะไรและระดับใด จากนั้นให้ศึกษาดูตามมาตรฐานตัวชี้วัดต่างๆ ว่า เรื่องนั้นๆเขาวัดความเก่งและความสำเร็จที่ตนเองได้รับด้วยมาตรฐานอะไรและอย่างไร และเมื่อพบว่าที่ตนเองเก่งและประสบความสำเร็จนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัดความสำเร็จนั้นจริง ก็จะส่งผลให้ตนเองมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในความเก่งและความภาคภูมิใจของตนเอง ซึ่งวิธีการนี้ในการทำจิตบำบัดแบบปรับความคิดและพฤติกรรม( cognitive behavioral therapy)เรียกว่าเทคนิคการให้ผู้ป่วยค้นหาความจริงและประโยชน์ของความคิดนั่นเอง 5)ไปรักษากับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา หากผู้ที่มีกลุ่มอาการ imposting syndromesได้พยายามแก้ไขด้วยตนเองมาทั้งสี่วิธีแล้ว แต่ก็ยังพบว่าตนเองมีความรู้สึกไร้ความภาคภูมิใจและคิดว่าตนเองไม่เก่งอยู่ดี ก็ควรไปพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเพื่อจะได้ช่วยเหลือเชิงลึกทั้งด้วยวิธีการให้การปรึกษาทางจิตวิทยา การทำจิตบำบัดแบบปรับความคิดและพฤติกรรม และการใช้ยา นั่นเอง 6)เจริญสติปัฏฐานสี่ ข้อนี้เหมาะกับผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนเพราะว่าการเจริญสติปัฏฐานสี่นั้นเป็นการฝึกดูอาการของกายและของจิตหรือความคิดเป็นหลัก เพราะในด้านพุทธจิตวิทยาคนจะคิดและรู้สึกอย่างไรนั้นล้วนเป็นการปรุงแต่งของตนเองขึ้นมาทั้งสิ้น ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเรา เป็นความเก่งความไม่เก่ง ล้วนเป็นการปรุงแต่งโดยสมมติทางโลกทั้งสิ้น แต่หากเฝ้ารับรู้ฐานความคิดและความรู้สึกต่างๆสม่ำเสมอ จะช่วยให้เกิดสติสัมปชัญญะ(ความรู้ตัวทั่วพร้อม)และจะเกิดความรู้สึกที่เป็นกลางๆขึ้นโดยไม่ปรุงแต่งใดๆ ความรู้สึกสงบสุขอันเกิดจากการไร้การตีความว่าเป็นคนเก่งหรือไม่เก่งจะไม่มารบกวนสุขภาพจิตอีกเลย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการเหล่านี้เขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งคิดแกล้งทำ แต่เขาเหล่านั้นมีความคิดและรู้สึกว่าไร้ความภาคภูมิใจและคิดว่าตนเองไม่เก่งจริงๆ ดังนั้นการได้รับการช่วยเหลือเยียวยาแก้ไขอย่างเป็นระบบ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้คนเหล่านี้มีความสุขใจขึ้นได้ และเพิ่มศักยภาพทางความคิดและการกระทำให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลายรายรักษาแล้วหายขาด และแม้ว่าบางรายอาจไม่หายขาด แต่เมื่อทุกคนได้รับการรักษาก็จะรู้สึกมีความสุขขึ้นตามเหตุปัจจัยทางจิตวิทยาของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง เครดิต ภาพปกจาก : kytalpa / pixabay ภาพที่1จาก : Myriams_Fotos / pixabay ภาพที่2จาก : mohamed_hassan /pixabay ภาพที่3จาก : mohamed_hassan / pixabay ภาพที่4จาก : cocoparissian / pixabay รศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักวิชาการสื่อสารสุขภาพจิตและศาสนาปรัชญา นักเขียนสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,มติชน,อมรินทร์ธรรมะ,ซีเอ็ด,ดีเอ็มจีและวิชบุ๊ค ประธานสถาบันพัฒนาบุคลากร wuttipong academy เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !