จากปากน้ำแม่โขง พวกเราตรงดิ่งไปที่สนามบินเพื่อจุดหมายถัดไปคือ ฮอยอัน (Hoi An) ในขณะที่เคนโหลดกระเป๋า และเช็คอินเข้าเกทไปแล้ว ผมกลับถูกกักตัวไว้ ชนิดที่เจ้าหน้าที่แทบจะผลักอกผมออกมาจากคิวทีเดียว ทั้งเรียกประกาศและถูกหิ้วเข้าห้องตรวจอาวุธ แบบที่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำอะไรผิด “นี่อะไร?” เจ้าหน้าที่ค้นกระเป๋าผม แล้วหยิบของชิ้นหนึ่งออกมา หน้าของผมซีดเผือด ใจตกลงไปที่ตาตุ่มขณะกำลังหาคำอธิบายเจ้าหน้าที่สนามบิน ความตกใจทำให้ผมลืมศัพท์คำนี้ไปสนิท “เนื้อกหมัม” nước mắm เป็นภาษาเวียดนาม หมายถึงน้ำปลาครับ ผมลืมไปสนิทว่า บางสายการบินไม่อนุญาตให้โหลดอาหารกลิ่นแรงอย่างทุเรียน หรือน้ำปลาลงใต้ท้องเครื่อง และผมก็ลืมเช็คว่าสายการบินที่ผมกำลังจะขึ้นอนุญาตมั้ย แต่ ณ ตอนนั้น แอบเสียดายถ้าเจ้าหน้าที่ต้องยึดน้ำปลาที่ผมอุตส่าห์ทำภารกิจหามาได้ เพราะในเวียดนามน้ำปลาที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดีที่สุด และอาจดีที่สุดในโลก คือน้ำปลาจากเกาะฟูก๊วกเหมือนยี่ห้อที่ผมซื้อมา ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของอ่าวไทยใกล้กับชายแดนกัมพูชาและเวียดนาม สุดท้าย เจ้าหน้าที่เก็บของลงกระเป๋าและอนุญาตให้ผมเข้าเกทได้ การประสานงานที่นี่ค่อนข้างขลุกขลัก เพราะแม้หลังจากเข้าเกทมาได้ก็ยังโดนกักตัวอยู่อีกรอบก่อนขึ้นบิน ทำให้เราเสียเวลา และหงุดหงิดพอสมควรกว่าจะถึงฮอยอัน ไม่ต้องพูดถึงตอนโดนผลักอกแล้วหิ้วออกมาราวกับคนร้ายค้ายาครับ ผมฉุนมากจริง ๆ ฮอยอันเป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักอีกแห่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบ ที่นี่ไม่มีสนามบิน การจะมาฮอยอันจึงต้องขึ้นเครื่องบินมาลงที่ดาหนัง (Danang) จากประเทศไทย มีเพียงแอร์เอเชีย และเวียดเจ็ทที่บินตรงจากกรุงเทพฯถึงดาหนังครับ เนื่องจากฝนตก ทำให้ไฟลท์ของเราดีเลย์จนถึงดาหนังเกือบสามทุ่ม แทนที่จะเป็นหนึ่งทุ่มตามตารางเดิม และเพื่อประหยัดงบ การเดินทางที่ฮอยอันของเราจึงไม่มีไกด์ มีเพียงพี่สารถีที่ขับรถพาเรา ตั้งแต่จากสนามบินมาโรงแรม ไปจนถึงตระเวนดูโรงแรมต่าง ๆ ฮอยอัน ฉันรักเธอ ชื่อเมืองฮอยอัน เป็นชื่อที่ผมได้ยินครั้งแรกผ่านภาพยนตร์เรื่อง “ฮอยอัน ฉันรักเธอ” ที่แดน วรเวชแสดงนำคู่กับเจนนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณในปี พ.ศ. 2548 เมื่อได้มาชมด้วยตัวเอง ถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมคนแต่งเรื่องนี้จึงตกหลุมรักฮอยอัน จนเขียนเรื่องมีเมืองนี้เป็นฉาก รวมถึงสถานที่ต่างๆที่โด่งดังทั่วเมือง ฮอยอัน แต่เดิมชื่อ ฟายโฟ (Faifo เพี้ยนมาจากภาษาเวียดนามในสมัยโบราณที่เรียกที่นี่ว่า Hội An Phố)ในศตวรรษที่ 17 เป็นเมืองท่าสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นแหล่งรวมเรือสินค้าจากนานาชาติ ทั้งจีน ญี่ปุ่น ดัทช์ อินเดียและโปรตุเกส เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ทูบ่น (Thu Bồn) อีกด้านของเมืองติดชายหาดยาวบนชายฝั่งทะเลตะวันออกของเวียดนาม ในบริเวณเมืองเก่าของฮอยอัน มีอีกสมญานามหนึ่งว่า เมืองสีเหลือง (Yellow City) ที่อาคารตลอดบริเวณเมืองเก่าทาด้วยสีเหลืองพาสเทล นั่นเป็นเพราะ สีเหลืองเป็นสีมงคลของชาวเวียดนาม เป็นสีของราชวงศ์ของกษัตริย์เวียดนามสมัยที่ยังมีกษัตริย์ปกครอง นอกจากนี้ สีเหลืองซึ่งเป็นสีสว่าง ทำให้ไม่ค่อยดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ฮอยอันเป็นเมืองในเขตร้อนชื้น จึงนิยมทาสีเหลืองบนตัวอาคาร เพราะทำให้ไม่ร้อน ประกอบกับเมื่อมีความชื้นจนบางแห่งมีตะไคร่ขึ้น สีเหลืองยังเป็นสีที่เข้ากันได้ดีกับสีตะไคร่ที่ขึ้นบนผนังอาคารอีกด้วย เรียกว่า ออกแบบมาเพื่อความวินเทจโดยเฉพาะ เมืองเก่าฮอยอันนี้เอง ยังถูกประกาศให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 1999 ครับ Tips: สีเหลือง นอกจากเป็นสีมงคลแล้ว ในภาษาเวียดนาม สีเหลืองยังใช้อธิบายในเชิงค่านิยมของคนรุ่นเก่าที่เก่าแต่ทรงคุณค่า เช่น เพลงสมัยก่อนสงคราม วัยรุ่นเวียดนาม จะเรียกเพลงเหล่านี้ว่า “เพลงเหลือง” ครับ โรงแรมที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นสไตล์บูติค ไม่สูงมาก และคงความเป็นเอกลักษณ์ของฮอยอันไว้ด้วยศิลปะเฉพาะตัว ดูแล้ว จะเป็นจีนก็ไม่ใช่ จะแขกก็ไม่เชิง อาจเป็นเพราะที่นี่อดีตเคยเป็นดินแดนของจาม ที่เป็นมุสลิมก่อนกลายมาเป็นเมืองท่าที่ได้รับวัฒนธรรมจากหลากหลายชาติที่ผ่านเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานในดินแดนนี้ หลังจากสำรวจโรงแรม ผมขอให้พี่สารถีมาส่งเราในบริเวณเมืองเก่า ซึ่งพวกเราตั้งใจว่า จะตามหาอาหารท้องถิ่นที่นี่ทานกันเป็นมื้อเที่ยงครับ สตาฟโรงแรมหนึ่งแนะนำเราให้มาชิมเกาเหล่า (Cao Lầu) ซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ และการเดินไปตามหาร้านที่เราไม่รู้ทาง และไม่รู้จัก ท่ามกลางเปลวแดดคงไม่ใช่เรื่องสนุก เราจึงหาวิธีที่สนุกกว่านั้น ด้วยการเช่ามอเตอร์ไซค์ขับครับ มีร้านมอเตอร์ไซค์ให้เช่าอยู่ระว่างทางเข้าเขตเมืองเก่า ค่าเช่าเพียงวันละประมาณ 150 บาท แลกกับอิสระที่เราสามารถไปไหนก็ได้ทั่วเมือง เพราะเป็นวันว่าง และพี่สารถีก็ไม่ได้อยู่กับเราทุกวัน แต่อย่าลืมว่านี่เวียดนามครับ เมืองที่การจราจรวุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งในเอเชีย และเรากำลังจะขับมอเตอร์ไซค์ไปบนถนนที่นี่ โดยผมเป็นคนขับ และเคนเป็นคนดูแผนที่และบอกทางผม เรางมไปตามถนนในเมืองเก่าที่ไม่อนุญาตให้รถยนต์เข้า อนุญาตเฉพาะคนเดินเท้า มอเตอร์ไซค์ และจักรยานครับ เราหาร้านเกาเหล่ายอดนิยมจนเจอ เป็นร้านนั่งเล็กๆ เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยว และมีโต๊ะเพียงไม่กี่โต๊ะ และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนฮอยอัน ผมสั่งเกาเหล่ามาลองสองที่ ออกเสียงคล้ายเกาเหลาที่บ้านเรา แต่เกาเหล่าที่นี่มีเส้นนะครับ เส้นหมี่กลม และหนาคล้ายเส้นราเมง คลุกกับเครื่องปรุงสูตรเฉพาะ (ซึ่งผมไม่รู้ว่าคืออะไร) ท้อปปิ้งด้วยเนื้อหมูแผ่น มีเกี๊ยวกรอบ และเต้าหู้กรอบใส่มาด้วย ทานคู่กับผักเคียงที่เสิร์ฟในจานแยกต่างหาก เป็นผักที่หน้าตาเหมือนใบบัวบก ผสมผักน้ำซึ่งผมไม่เคยเห็นที่ไทยมาก่อนครับ รสชาติเกาเหล่าออกเค็มมัน แต่รสไม่จัดตามสไตล์เวียดนาม มีเครื่องปรุงที่สามารถเติมพริกป่น น้ำส้มสายชู ซีอิ๊ว หรือน้ำจิ้มหวานได้ตามสะดวกครับ ระหว่างทาน เราก็ตามหาที่เที่ยวไปพลาง และพบว่า เราอยู่ใกล้สะพานมือเพียงแค่ 40 กิโลเมตรครับ ประมาณบ้านผมที่นนทบุรีไปออฟฟิศที่สีลมเอง ใช้เวลาไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมง หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ เราจึงเดินทางต่อไปยังสะพานมือครับ โกลเด้นบริดจ์ ชั่วขณะในหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่เวียดนาม ขับรถสลับด้านกับบ้านเรา สำหรับรถช้า ที่นี่ต้องชิดขวาครับ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ และมีกฎหมายจราจรสำหรับมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของที่นี่ เข้มงวดกว่าบ้านเรามาก แต่สำหรับชนบทเมืองฮอยอัน ถือว่าอลุ่มอล่วยพอที่ชาวต่างชาติอย่างเราสามารถขับรถเที่ยวได้ เราแวะเติมน้ำมันในปั๊มข้างทาง เป็นช่วงแวะพักให้เคนเข้าห้องน้ำด้วย ซึ่งเคนเล่าว่า ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ครับ ปั๊มน้ำมันบ้านเราดีกว่าเยอะ และแม้จะแวะอีกปั๊มด้วยความหวังว่าห้องน้ำอาจจะสะอาดกว่าปั๊มที่แล้วหน่อย แต่ก็หมดหวัง จึงออกเดินทางต่อ เราขี่รถผ่านทุ่งนา มุ่งหน้าไปยังดาหนังเพื่อไปยังสะพานมือตามที่ตั้งใจไว้ ทุ่งนาที่นี่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา คู่ขนานไปกับถนนที่เต็มไปด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ ขนทั้งพืชไร่ และอะไรก็ไม่แน่ใจซ่อนอยู่ใต้ผ้าใบที่คลุมอยู่ บางจังหวะรถบรรทุกขนาดใหญ่ขับคู่ขนานบ้าง บางแยกเราต้องตัดหน้ารถบรรทุกบ้าง จนเข้าเขตเมืองดาหนัง และวกเข้าสู่แยกบาน่าฮิลล์ (Bana Hill) ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่สะพานมือ จุดหมายปลายทางของเราครับ ถ้าเส้นทางที่เราขับผ่านมาเป็นเส้นทางชนบท ทางขึ้นบาน่าฮิลล์ก็ราวกับหมู่บ้านคนรวยครับ ถนนใหญ่ลาดยาง สะอาดสะอ้าน โอบล้อมด้วยหุบเขา อากาศเย็นสดชื่น ลมเย็นปะทะหน้า ผิดกับเส้นทางที่ขับผ่านมาที่ค่อนข้างร้อน โดยเฉพาะตอนสัมผัสไอร้อนจากท่อรถรรทุก ก่อนมาถึง ผมคิดว่าสะพานมือเป็นจุดชมวิวแห่งหนึ่งในดาหนัง คือแค่ขึ้นไปจุดชมวิวบนเขา ไม่เสียค่าเข้า จนกระทั่งถึงปากทางเข้าบาน่าฮิลล์ที่ผมกับเคนมองหน้ากันหลายรอบ เพราะจริงๆแล้ว จะขึ้นไปสะพานมือไม่ง่ายอย่างที่เข้าใจเลยครับ สะพานมือที่ผมเรียก มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า โกลเด้นบริดจ์ (Golden Bridge) เป็นจุดหนึ่งของ Sun World ที่จะว่าสวนสนุกก็ไม่ใช่ เพราะจากแผนที่ พื้นที่ที่นี่กว้างมาก และมีหลากหลายจุด หลายกิจกรรมให้ดู เก็บค่าเข้าประมาณคนละ 750 บาทครับ ผมปรึกษากับเคน เพราะค่าเข้าที่ราคาเกือบพันบาท แต่ก็ไกลเกินกว่าจะถอยกลับตั้ง 40 กิโลจากฮอยอัน สุดท้ายเลยยอมครับ ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว ทางเข้าที่นี่เป็นอาคารขนาดใหญ่ราวกับศาลาสำนักเส้าหลิน จะขึ้นไปสะพานมือ เราต้องขึ้นกระเช้าไปครับ เดินไปตามทางเลย นักท่องเที่ยวเยอะมาก โดยเฉพาะคนไทยที่ผมเดินสวนกับหลายกลุ่ม หลายคณะ คุยกันเป็นภาษาไทยเสียงดังโฉงเฉงพอสมควรด้วยความตื่นเต้น กระเช้าสีแดงพาเราสูงขึ้นไป ทิ้งหุบเขาสีเขียวไว้เบื้องล่าง ลูกแล้วลูกเล่า ยิ่งไกล ยิ่งเห็นสายหมอกหนาขึ้น อากาศเย็นเจี๊ยบจนมีไอน้ำเกาะ เราเริ่มเสียดายที่ไม่ได้ใส่แจ็คเกตมา เพราะจากอากาศที่ร้อนระอุด้านล่าง เกินจะจินตนาการได้ว่าข้างบนเย็นขนาดไหน ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจากทางขึ้นสู่ยอดเขาลูกที่ 4 หรือที่ 5 ไม่แน่ใจ แต่เริ่มเห็นรูปมือที่คุ้นเคยฝ่าสายหมอกมาไกลๆจึงแน่ใจว่า เราใกล้ถึงแล้ว เมื่อลงจากกระเช้า เรามองหาทางไปสะพานมืออยู่พักหนึ่งก่อนที่เคนจะลากผมไปตามกลุ่มทัวร์ไทยกลุ่มหนึ่ง จนถึงทางออกจากสถานีกระเช้า ไอเย็นของอากาศทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ ยิ่งมองออกไปในสายหมอก กับอุ้งมือสีทองตรงหน้า และทิวเขาสีเขียวสลับซับซ้อนอยู่เบื้องล่าง ชั่วขณะหนึ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในหัตถ์ของพระเจ้า นักท่องเที่ยวต่างถ่ายรูปกับสะพานและอุ้งมือ หลายกลุ่ม หลายมุม แต่ยังไม่ถึงขั้นแออัด เรามาถึงที่ที่เราตั้งใจไว้แล้ว เราเดินจากสะพาน ลอดอุโมงค์ที่ประดับด้วยกระเบื้องสีโมเสค อ้อมลงไปยังสวนดอกไม้หลากสี อากาศเย็นๆกับสวนดอกไม้หลากสีสันแบบนี้ นึกถึงแม่เลยครับ ถ้าแม่ผมมาด้วยแม่จะชอบมาก เรายังพยายามหาทางเดินต่อไปยังรูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิมที่ส่งยิ้มอย่างมีเมตตาให้เรามาไกลๆ แต่หาทางไปยังไงก็ไม่เจอครับ เลยต้องเก็บไว้ครั้งหน้า จากทางกลับ เรามองเห็นปราสาทฝรั่งเศสไกลๆจากเขาอีกฝั่ง ยังมีเส้นทางกระเช้าที่ไปต่อได้อีกหลายสถานี เราต่างนึกเสียดายที่ไม่รู้ว่าพื้นที่กว้างขนาดนี้ และมีอะไรให้ดูเยอะแยะขนาดนี้ จึงต้องเก็บไว้มาใหม่ครั้งหน้าครับ คืนนี้เรามีนัดกับสตาฟโรงแรมอีกแห่งหนึ่ง จึงจำเป็นต้องรีบกลับไปฮอยอันให้ทันนัด แสงเทียนในสายธาร หลังจากตามแผนที่มา ในที่สุดเราก็กลับมาถึงฮอยอันครับ เรานัดกับสตาฟโรงแรมไว้ที่ร้านอาหาร Little Faifo ในใจกลางเมืองเก่า ซึ่งหลังจากที่หลงมา 2 ตลบ 2 แยก ในที่สุดเราก็หาที่จอดรถเจอและเดินต่อมาอีก 2 บล็อคถึงร้านอาหาร เดวิด (David) กับรีเบคก้า (Rebecca) สตาฟชาวเวียดนามที่พาเราดูรอบโรงแรมแล้ว อาสาแนะนำเราเรื่องอาหารตำรับฮอยอัน และร้านอาหารที่เป็นตำนาน ร้าน Little Faifo ดัดแปลงมาจากอาคารที่อยู่อาศัยเดิม ในอดีตเป็นของครอบครัวช่างทำเครื่องปั้น และเครื่องเคลือบในลวดลายต่างๆ ในหมู่บ้านเครื่องปั้นธานห่า (Thanh Hà) ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองฮอยอัน ผมเห็นหลายโรงแรมนำลวดลายจากเครื่องปั้นนี้มาทำเป็นกระเบื้องปูพื้น เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของโรงแรมและอาคารในฮอยอัน ก่อนจะส่งต่ออาคารที่แม้จะปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหาร แต่ยังคงโครงสร้าง และศิลปะของร้านเครื่องเคลือบเดิมไว้ในอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ชั้นบนทำเป็นชั้นสำหรับวางโต๊ะยาว รับกรุ๊ปที่มาทานข้าวด้วยกันในหลัก 10 คนได้ โต๊ะ-เก้าอี้เป็นไม้สไตล์ร้านอาหารจีน เสิร์ฟอาหารเวียดนามทั้งเมนูต้นตำรับในฮอยอันอย่างเกาเหล่าที่เราไปชิมมาแล้วตอนเที่ยง หรือหมี่ก๋วง (Mỳ Quảng) บะหมี่แห้งอีกชนิดหนึ่ง ที่เส้นบะหมี่มีขนาดกว้างกว่าเกาเหล่า และมีสีเหลืองสดใส ท้อปปิ้งด้วยกุ้ง ไข่ และเนื้อหมูแผ่น หรือเมนูยอดนิยมอย่างเฝอ, บุ๋น (Bún) หรือก๋วยเตี๋ยวเส้นขนมจีน และข้าวผัด (Cơm chiên) เดวิดยังเป็นไกด์พาเราชมรอบเมืองฮอยอันตอนกลางคืนที่สว่างไหวด้วยโคมไฟผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ แบบที่มองปุ๊บรู้ปั๊บว่ามาจากฮอยอันแน่นอน ฮอยอันรับวัฒนธรรมการประดิษฐ์โคมไฟเหล่านี้มาจากญี่ปุ่นที่เข้ามาค้าขายในศตวรรษที่ 17 ประยุกต์รูปแบบการทำโคมด้วยโครงไม้ไผ่ เปลี่ยนจากกระดาษญี่ปุ่นมาเป็นผ้าไหมท้องถิ่นของฮอยอัน และเปลี่ยนมาเป็นผ้าที่สามารถทำลวดลายหลากสีสัน คงทน และพับเก็บง่ายในปัจจุบัน โคมหลากสีที่ตัดกับสีเหลืองของอาคาร เป็นเสน่ห์และสีสันของเมืองเก่าฮอยอันที่ตราติดตรึงใจพวกเราขณะเดินชม รีเบคก้าพาเรามาถึงแม่น้ำทูบ่น ที่ริมฝั่งน้ำคืออาคารเมืองเก่า และในน้ำคือโคมกระดาษเล็กๆที่นักท่องเที่ยวนิยมมาลอยกัน เป็นภาพที่งดงามในแม่น้ำสีดำยามดึก เรานั่งเรือไปกลางแม่น้ำที่ป้าคนพายนำโคมกระดาษสีมาให้ เมื่อจุดไฟ แสงไฟสะท้อนสีกระดาษไขลงในแม่น้ำสวยงาม ผมอธิษฐานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้โคมลอยไปตามลำน้ำ โดยเดวิดบอกว่า เมื่อก่อนฮอยอันจะจัดลอยโคมทุกวันพระจันทร์เต็มดวง เพื่อความสุข สงบ และปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เสรี แต่เนื่องจากนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมากขึ้น และโคมที่เคยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลายสภาพเป็นขยะเต็มลำน้ำ ทำให้ช่วงหลัง รัฐบาลเวียดนามสั่งยกเลิกพิธีลอยโคมและจำกัดการลอยโคมในแม่น้ำ เรียกว่าต้องเส้นใหญ่จริงๆจึงสามารถทำธุรกิจลอยโคมกลางน้ำได้อยู่ เราเดินอ้อมมาจนพบสะพานญี่ปุ่น ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ที่คุ้นตาสำหรับฮอยอัน สร้างมาแล้ว 400 กว่าปีโดยชุมชนญี่ปุ่นเพื่อข้ามลำธารเล็กๆไปยังชุมชนชาวจีนอีกฝั่งหนึ่ง เดวิดชี้ให้เราสังเกตรูปปั้นลิงกับสุนัขที่ริมสะพานด้านใน หมายถึงปีที่เริ่มต้นสร้าง คือปีวอก (ลิง) และสร้างเสร็จในปีจอ (สุนัข) หลังจากเดินวนกลับมาถึงที่จอดรถ เราขอบคุณและแยกกับทั้งคู่ตรงนั้น รีเบคก้าแนะนำร้านกาแฟร้านโปรดของเธออีกแห่งหนึ่งที่เราวางแผนจะไปชิมในวันรุ่งขึ้น หาดอันบั่ง ทะเลและสายน้ำ เราออกตามหาร้านด๋อมคอฟฟี่ (Đóm) ร้านโปรดของชาวฮอยอันหลายๆคนในถนนทางเข้าหมู่บ้านเล็กๆที่ผมได้ลองชิมกาแฟเสือ (กาแฟใส่นมข้น) ฉบับฮอยอัน ต้องสารภาพว่า แม้จะชอบกาแฟ แต่ลิ้นของผมยังไม่ถึงพอที่จะแยกความแตกต่างระหว่างกาแฟเสือที่ไซ่ง่อน และฮอยอันได้ครับ เพราะหวานแสบไส้ทั้งคู่ เราขี่รถผ่านแยกต่างๆ ข้ามสะพานและป่าจากออกไปยังอีกฝั่งของเมืองที่เป็นที่ตั้งของหาดอันบั่ง (An Bàng) ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายอาหารทะเล เก้าอี้ผ้าใบวางเรียงรายเต็มชายหาด นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวตะวันตกต่างมาลงเล่นน้ำคลายร้อน บ้างนอนอาบแดดริมชายหาด ฉากหลังคือน้ำทะเลสีฟ้าของทะเลตะวันออกที่กว้างไกลสุดสายตา ชายหาดขาวเนียนเป็นแป้ง ผมแอบเห็นเรือกลมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเวียดนามจอดอยู่ริมฝั่ง สำหรับทัวร์คนไทยบางแห่งจะพาไปนั่งเรือกลมหมุนนี้ในแม่น้ำด้วย แต่เราไม่ได้ไปครับ และน่าเสียดายที่ผมไม่เหลือเวลามากพอที่จะเล่นน้ำทะเล จึงได้แค่เดินสำรวจรอบหาดและกลับเข้าเมือง ฮอยอันไม่ได้มีดีแค่เพียงเมืองเก่าตามที่ผมเคยเข้าใจ แต่มีทั้งแม่น้ำ ทะเล ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเส้นทางค้าขายของนานาชาติ หลายที่ หลายไฮไลท์ที่ผมเองยังไม่ได้ไป ทั้งหมู่บ้านเครื่องปั้นที่เป็นจุดกำเนิดศิลปะเครื่องกระเบื้องในฮอยอันก็ว่าได้ นั่งเรือกลมตามร่องน้ำในป่าจาก หรือแม้แต่การนั่งรถสามล้อถีบชมรอบเมืองเก่า ก็เป็นบรรยากาศที่ผมยังไม่ทันได้เห็น และเก็บไว้มาใหม่ในครั้งถัดไปครับ บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับเรา สมัยที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ แบบยังไม่ทันผ่านโปร และยังไม่ควรลาพักร้อนในเวลานั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังเก็บของกลับบ้านกันพอดี “ครับแม่” ผมรับสาย “อาทิตย์หน้าไปญี่ปุ่นกับแม่ได้มั้ย” แม่ถาม “หือ ญี่ปุ่นหรอ แพงมากเลยนะ” สำหรับผม ญี่ปุ่นไม่เคยอยู่ในห้วงมโนสำนึก เพราะทุกอย่างแพงไปหมดที่นั่น และเป็นจุดหมายที่ค่อนข้างเกินเอื้อมสำหรับผม “ไปเถอะ แม่อยากให้ไป ที่จริงแม่ออกตั๋วจองที่พักให้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกลางานเท่านั้นแหละ” “อ้าวแม่!” แม่วางสาย ไม่รอให้ผมอธิบายอะไรทั้งสิ้น เครดิตภาพ: ภาพปก: https://bit.ly/2ySb6To ภาพ 1-8: Pornpan Kleepkaew อ้างอิงเนื้อหา: https://bit.ly/3byIYSi https://en.m.wikipedia.org/wiki/H%E1%BB%99i_An http://littlefaifo.com/index.php/memories-of-a-house/ https://hiddenhoian.com/see-and-do/lantern-shopping-in-hoi-an/ https://whc.unesco.org/en/list/948/