จากในหลายๆเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮานอยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามที่มีเสน่ห์ และทำให้ผมตกหลุมรักประเทศเวียดนามเข้าอย่างเต็มอก ผมได้ไปที่นี่เป็นครั้งแรกจากคำชวนของเพื่อนชาวเวียดนามที่อยากชวนผมไปเที่ยวบ้านเขาบ้าง หลังจากที่ทำงานร่วมกันมาพักหนึ่ง ทั้งที่ที่นี่ ไม่เคยอยู่ในแผนการเดินทางของผมเลย ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋า จองตั๋ว และที่พัก แบบที่ไม่มีอะไรในหัว และทั้งๆที่ผมทำงานการท่องเที่ยวที่นี่โดยตรงนี่แหละ ความตื่นเต้นจากการเดินทางไปที่นี่ครั้งแรก ทำให้ 2 ชั่วโมงบนเครื่องบิน ยาวนานดุจชั่วกัปชั่วกัลป์ ในที่สุดเราก็มาถึงสนามบินนอยไบ นครฮานอย ผมไม่ได้ให้เพื่อนมารับเพราะเราไปถึงด้วยไฟลท์ดึก สิ่งแรกที่สะกิดใจผมเมื่อออกจากสนามบินมาเรียกแกร็บแท็กซี่เข้าโรงแรม คือ เสียงแตรรถครับ เสียงแตรรถที่นี่ดังระงมกันเป็นเอกลักษณ์จนผมแอบสงสัยว่าทำไมคนที่นี่เขาใจร้อนกันจัง แต่ก็ได้แต่ฝากชีวิตไว้กับคนขับที่พูดอังกฤษไม่ได้ แต่เมื่อรู้จุดหมาย ก็ส่งยิ้มแล้วช่วยเราขนกระเป๋าอย่างขะมักเขม้น เราผ่านสะพานญัทธาน (Nhat Than) ที่เปลี่ยนสีไฟส่องเป็นสีต่างๆยามค่ำคืน เป็นสัญลักษณ์ว่าเราผ่านพ้นเขตสนามบินมาแล้ว ทั้งมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ยังคงวิ่งกันขวักไขว่ รถที่นี่ขับกันไม่เร็วมาก แต่ต้องยกนิ้วให้เรื่องหวาดเสียว ทั้งตัดหน้า และอีกนิ้วเดียวจะเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์อีกคันข้างๆ สุดท้ายก็ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพแบบหวุดหวิด มารู้เอาทีหลังว่าคนเวียดนามใช้แตรเป็นสัญลักษณ์ในการบอกคันข้างๆว่าเขามาแล้ว จะแซงแล้วนะ เพราะจากที่สังเกต คนขับรถที่นี่โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์แทบจะไม่มองกระจกข้างกันเลยครับ ใช้วิธีบีบแตรบอกอย่างเดียว เป็นวัฒนธรรมการขับรถของคนที่นี่ ผมพักในเขตเมืองเก่า ใกล้ทะเลสาบห่อนเกี๋ยม (Hoan Kiem) บ้านเรือนในบริเวณนี้เป็นห้องแถว สูงประมาณ 3 ชั้น และส่วนหน้าแคบ ห้องพักของผมก็เช่นกัน ผมรู้สึกแปลกใจกับความแคบของโรงแรมที่แม้แต่ในเมืองไทยก็ยังไม่เล็กขนาดนี้ และเมื่อมองไปรอบระเบียงเล็กๆ ผมจึงค้นพบว่า ในบริเวณเมืองเก่าที่เป็นศูนย์กลางของฮานอยเลยก็ว่าได้ กลับไม่มีตึกระฟ้าสักแห่ง ในที่สุด ผมก็ได้เจอเพื่อนที่ทำงานด้วยกันในวันรุ่งขึ้น เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ชื่อ จาง (Trang) และอาสาเป็นไกด์พาผมชมรอบเมือง เริ่มจากตลาดในเมืองเก่าที่ผมแอบตั้งฉายาให้ว่า ตลาดร้อยร้าน โดยรอบตลาดเลียบทะเลสาบ มีเป็นร้อยๆล้าน และแทบจะไม่ซ้ำกันเลย มีหลายบล็อก หลายแยก พลุกพล่านทั้งคนเดินตลาด, มอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ ผมแอบชื่นชมคนที่นี่ในใจว่า เขาจำตำแหน่งร้านแต่ละร้านได้ยังไงกัน เพราะถ้าเป็นผมมาเดินที่นี่คนเดียว คงหลงอยู่สักพักใหญ่ๆแน่ๆ การข้ามถนนที่นี่น่าหวาดเสียว เพราะรถไม่หยุดให้ข้ามครับ จางแนะนำว่า ให้เดินไปเลย เดินช้าๆ รถจะหลบให้เราเอง ตามด้วยพาผมเดินข้ามวงเวียนหน้า Opera House โรงละครใหญ่ประจำเมืองที่ขนาดถนนกว้างเท่ากับวงเวียนใหญ่ หัวใจผมแทบหยุดเต้นตอนที่รถแท็กซี่บีบแตรใส่ และขับผ่านเราไปแบบเส้นยาแดง ในขณะที่มอเตอร์ไซค์อีกคันเฉี่ยวหัวแม่เท้าผมไปนิดเดียว แต่นั่นเป็นประสบการณ์ที่เร้าใจอย่างหนึ่งเมื่อคุณมาเที่ยวที่นี่ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ถนนรอบทะเลสาบห่อนเกี๋ยมจะปิดเป็นถนนคนเดิน ห้ามรถวิ่งเข้าออก รอบทะเลสาบกลายเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อากาศเย็นสบาย ครอบครัวชาวเวียดนามจะพาลูกมาเดินเล่น พักผ่อน และทำกิจกรรมร่วมกันที่นั่น จางเลี้ยงไอศกรีมจากร้านเก่าแก่แห่งหนึ่งใกล้ทะเลสาบ เธอเล่าว่าเธอโตมากับร้านไอศกรีมร้านนี้เลยก็ว่าได้ เราเดินผ่านร้านขายของที่ระลึก โรงละครหุ่นละครน้ำ ก่อนจะพาผมไปร้านกาแฟในตรอกที่เล็กและมืดจนผมแอบแซวเธอว่า นี่เธอจะพาฉันไปขายหรือเปล่า ผมแอบประหลาดใจที่ หลังซอยมืดๆ มีร้านกาแฟเล็กๆที่คนท้องถิ่นไปนั่งกันเต็ม ในร้านโปร่งและสว่างกว่าที่จะจินตนาการออกจากภายนอก วัฒนธรรมเวียดนามจะนั่งโต๊ะและเก้าอี้เล็กๆประมาณเก้าอี้ซักผ้าบ้านเรา จับกลุ่มคุยเรื่องสัพเพเหระในภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ แต่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและมิตรภาพ จางแนะนำให้ผมลองกาแฟไข่ เป็นกาแฟร้อน ใส่นมข้นตามด้วยไข่แดงสด เมื่อเจอกับความร้อนของกาแฟ เลยได้รสชาติความขมปนหวาน กับกลิ่นหอมของไข่ที่แปลกไปอีกแบบและเป็นเอกลักษณ์ จางพาผมไปสักการะขอพรที่วัดญ็อกเซิน (Ngoc Son) วัดเต๋าริมทะเลสาบที่เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนฮานอยเป็นครั้งแรก วัดที่นี่ไม่มีพระอยู่ เป็นเหมือนศาลเจ้าที่ผู้คนมาสักการะขอพร ในขณะที่ชาวไทยใช้ดอกบัวบูชาพระชาวเวียดนามบูชาเทพด้วยส้มโอนิ้ว ชื่อของส้มโอนิ้ว มีความหมายในภาษาเวียดนามว่า เศียรพระพุทธองค์ เป็นผลไม้มงคลที่คนเวียดนามวางถวายพร้อมกับของบูชาอื่นๆบนชั้นไหว้เพื่อให้ชีวิตประสบแต่ความสุขความเจริญ จุดที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนที่นี่คือการถ่ายรูปกับสะพานสีแดงที่เชื่อมระหว่างฝั่งกับวัดที่เป็นเกาะเล็กๆอยู่กลางทะเลสาบ เราเดินลัดทะเลสาบผ่านตลาดและร้านรวงต่างๆไปอีกมุมหนึ่งก่อนจะมาถึงโบสถ์เซนต์โจเซฟ (St.Joseph’s Catedral) โบสถ์คาทอลิคที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองฮานอย ตั้งชื่อตามบาทหลวงโจเซฟ บาทหลวงคนสำคัญของภูมิภาคอินโดจีน โบสถ์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแห่งแรกของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้สมัยยึดครองเวียดนาม สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์นอเธอร์ดามที่ฝรั่งเศส และยังคงใช้งานอยู่มาจนถึงปัจจุบัน จางบอกว่า ทุกวันอาทิตย์ ชาวคริสเตียน ทั้งชาวต่างชาติ และชาวเวียดนามจะมาสวดมนต์ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนากันที่นี่ หลังจากเดินจนขาแทบลาก จางพาผมมาหยุดพักขาที่ร้านเฝอข้างทาง ผมแอบตื่นเต้นที่จะได้ชิมเฝอต้นตำรับ อาหารขึ้นชื่อประจำชาติของที่นี่ก็ว่าได้ เส้นเฝอเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเหลี่ยมๆเหมือนเส้นเล็กบ้านเรา แต่เหนียวนุ่มกว่ามาก ทานกับเนื้อวัวหั่นเป็นแผ่นกลมๆหรือไก่ฉีกกับต้นหอมผ่าซีกในน้ำซุปร้อนๆ เป็นรสชาติที่หาทานไม่ได้ที่ไทย แม้เราจะมีร้านเฝอหลายร้านก็ตาม จางยังพาผมไปชิมบั๋นหมี่ (Banh Mi) หรือขนมปังฝรั่งเศสปิ้งร้อนๆจนกรอบนอกนุ่มใน ยัดไส้ผัก หมูสับ และหมูแผ่นราดซอสพริก จางพาผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ฝ่าความวุ่นวายของเขตเมืองเก่า ออกไปยังสุสานโฮจิมินห์ สถานที่เก็บร่างวีรบุรุษผู้สร้างชาติของชาวเวียดนาม ร่างของรัฐบุรุษนอนสงบนิ่งในสถานที่ที่สร้างเหมือนมหาวิหาร กลางจัตุรัสกว้าง และรายล้อมด้วยทหารที่คอยดูแลรักษาความเรียบร้อยในบริเวณนั้น เราถอดใจกับคิวที่ยาวเหยียดกับการเข้าไปเยี่ยมร่างของลุงโฮจิมินห์ภายใน จึงได้แต่เดินรอบอาคารภายนอกและไปต่อ ไม่ไกลจากสุสานเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ชื่อทะเลสาบเทย์โห่ (Tay Ho) หรือทะเลสาบตะวันตก ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองฮานอย กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจนผมนึกว่าเป็นทะเลจริงๆ มีถนนผ่ากลาง จางจอดรถที่ริมทะเลสาบ ก่อนจะพาผมเดินเลียบทะเลสาบ ผมหยุดยืนมองขอบทะเลสาบอีกด้าน รู้สึกผ่อนคลายด้วยลมเย็นๆและกลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงที่พัดปะทะหน้า ชอบที่นี่จัง เธอชวนผมนั่งเก้าอี้เล็กเหมือนที่นั่งที่ร้านกาแฟ จิบชาร้อน และสอนผมแทะเมล็ดทานตะวัน วัยรุ่นชาวเวียดนามมักจับกลุ่มกันริมทะเลสาบ คุยถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะที่จิบชา หรือน้ำผลไม้ พร้อมแทะเมล็ดทานตะวันไปด้วย จางบอกว่า เธอชอบมาที่นี่ในหน้าร้อนเพราะได้ลมจากทั้งสองฝั่งของทะเลสาบ และได้ผ่อนคลายจากงานที่แสนหนักและวุ่นวาย เราลากันที่นั่นก่อนจางจะกลับมาส่งผมที่โรงแรม ทิ้งไว้เพียงความประทับใจของรักแรกพบที่ผมมีต่อประเทศนี้ ในเมืองที่ความวุ่นวายคือเสน่ห์ จุดเริ่มต้นของการผจญภัยในอีกหลายครั้ง หลายรูปแบบ ซึ่งถ้ามีโอกาส ผมจะเล่าให้คุณฟังในบทความถัดไป เครดิตภาพ: นาคิน