ภาพปกจาก pixabay.com “ดอกไม้แห่งความตาย” ดอกไม้อาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความสดใสและความยินดี ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามและเป็นที่นิยมใช้สำหรับงานรื่นเริงต่างๆ แต่ก็ยังมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีรูปลักษณ์สวยงาม สีสันสดใสแต่กลับถูกโยงเข้ากับ ‘ความตาย’ ในวันนี้เราจะมาตีแผ่ความพิเศษและความน่าสนใจของดอก “ฮิกันบานะ” กันค่ะ ดอกฮิกันบานะ มีถิ่นฐานอยู่ที่ญี่ปุ่นถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พลับพลึงสีแดง” หรือในภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Red spider lilies ในญี่ปุ่นต่างก็มีชื่อเรียกดอกไม้ชนิดนี้แตกต่างกันออกไปแต่ทุกชื่อก็สื่อไปในทางที่ไม่ดีหรืออาจเกี่ยวกับความตายและความโชคร้าย ฮิกันบานะเป็นดอกไม้สีแดงที่จะบานในช่วงวันวสันตวิษุวัตในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี ถือเป็นวันเปลี่ยนฤดูกาลเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงของประเทศทางซีกโลกเหนือและเปลี่ยนสู่ฤดูใบไม้ผลิของประเทศในซีกโลกใต้ส่งผลให้ช่วงเวลากลางวันจะยาวเท่ากับช่วงกลางคืน ซึ่งดอกฮิกันบานะจะบานในช่วงเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน ความพิเศษของดอกฮิกันบานะคือเป็นดอกไม้มีพิษ ในกระเปาะของมันจะมีสารพิษที่เรียกว่า แอลคาลอยด์ หากจะนำมารับประทานก็ต้องละลายพิษให้สะอาดก่อน หากล้างไม่สะอาดจะส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น อาเจียนและท้องเสีย จนถึงเสียชีวิตได้ และเพราะพิษของมันคนญี่ปุ่นมักจะปลูกฮิกันบานะไว้รอบๆหลุมศพเพื่อป้องกันไม่ให้มีสัตว์ต่างๆเข้ามาทำลายหลุมศพจึงทำให้ดอกฮิกันบานะถูกเรียกว่าเป็นดอกไม้ที่อยู่คู่กับหลุมศพ นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าสีแดงของดอกฮิกันบานะมาจากการที่ดอกไม้ดูดเลือดของศพขึ้นมาจึงกลายเป็นสีแดงและถูกนิยมใช้สำหรับงานศพ ในงานเขียนของชาวพุทธโบราณเองก็มีการกล่าวถึงดอกฮิกาบานะไว้ว่าจะนำทางวิญญาณคนตายสู่วัฏจักรของการเกิดใหม่อีกด้วย ที่มาของความหมายการจากลาของดอกฮิกันบานะคือ เนื่องจากดอกและใบของมันจะไม่ขึ้นพร้อมกัน เมื่อดอกไม้เหี่ยวแห้งและลำต้นผุพังไป เราจึงจะเห็นใบไม้ขึ้นมา ทำให้เราไม่มีทางมองเห็นทั้งดอก ลำต้น และใบในเวลาเดียวกัน ดอกฮิกันบานะจึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการจากลาที่ไม่มีวันได้พบเจอกันอีก ถึงแม้ดอกฮิกาบานะจะมีความหมายที่ไม่ดีนักแต่รูปลักษณ์ที่สวยงามของมันก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายและเรายังเห็นการ์ตูนและหนังแฟนตาซีบางเรื่องที่มักจะนำดอกไม้ชนิดนี้ไปเปรียบเทียบกับโลกหลังความตายกันบ่อยๆอีกด้วยค่ะ ภาพที่ 1 pixabay.com ภาพที่ 2 pixabay.comภาพที่ 3 pixabay.com