เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับคดีอาญา ไม่ว่าเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ แน่นอนว่าที่พึ่งแรกที่ต้องนึกถึง นั่นก็คือ คุณตำรวจ เมื่อพากันไปถึงสถานีตำรวจแล้ว ก็ไม่รอช้ารีบแจ้งความโดยพลัน ส่วนคุณตำรวจก็ไม่รอช้าหยิบบันทึกประจำวันออกมาบันทึกโดยพลันดุจกัน ท้ายที่สุดหลังจากนั่งแจ้งความอยู่พักใหญ่ก็ได้กระดาษซึ่งเป็นบันทึกประจำวันมา 1 แผ่น กลับบ้านอย่างสบายใจ ว่าแจ้งความเสร็จเป็นที่เรียบร้อย กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจคิดถึงคนผิดว่า...แกต้องถูกจับตัวลงหม้อไปถ่วงน้ำอย่างแน่นอน ปรากฏต่อมาคนผิดก็ยังคงลอยหน้าลอยตาไปไหนมาไหนอย่างน่าตาเฉย ไม่เห็นว่าคุณตำรวจจะดำเนินการใด ๆ กับคนผิดเสียที คนแจ้งความก็ได้แต่หายาหม่องน้ำเซียงเพียงอิ๊วมาทาแก้ความงงงวยของตนเองเคยเห็นทางโทรทัศน์ครั้งหนึ่งครับ มีกรณีดารานักร้อง หรือนักแสดง สักท่านหนึ่งนี่ละ ที่มีเรื่องทางอาญา แล้วประกาศออกสื่อชัดเจนว่าเจตนานำคนผิดมารับโทษ แต่สิ่งที่นำมาแสดงออกสื่อด้วยกลับมีเพียงบันทึกประจำวันเท่านั้น ก็ได้แต่สงสัยในใจว่า มีเพียงบันทึกประจำวันอย่างเดียวเช่นนั้นหรือ ถ้ามีเพียงบันทึกประจำวัน ถึงรอจนเหงือกแห้ง คนทำผิดก็ยังลอยหน้าลอยตาได้อยู่ต่อไปอย่างแน่นอน ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ดารานักร้อง หรือนักแสดงท่านนั้น มีเอกสารอื่นที่ได้จากคุณตำรวจนอกจากบันทึกประจำวันอยู่ด้วยนะครับวันนี้ก็เลยอยากจะมาเล่าถึงการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ชาวบ้านเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า “แจ้งความ” นะครับ ว่าเพราะเหตุใดแจ้งไปแต่เรื่องเงียบจ้อย ราวกับคำแจ้งความของเรานั้นตกลงไปในหลุมดำแล้วหายแซบไปเลยตามปกติการแจ้งความนี้ จะแบ่งเป็น 2 อย่างครับ คือ การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน กับการแจ้งความที่เป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานนี้ สิ่งที่ได้กลับมาคือ สำเนาบันทึกประจำวันที่มักจะเขียนด้วยลายมือก่อนประวัติศาสตร์ คือ ต้องมานั่งแกะที่ละตัวว่า คุณตำรวจเขียนว่าอย่างไร กว่าจะแกะครบ ก็จบไปครึ่งวันแล้ว การแจ้งความประเภทนี้มีไว้สำหรับกรณีที่บัตรประชาชนหาย หรือสิ่งของหาย แล้วต้องมีหลักฐานการแจ้งที่น่าเชื่อถือว่าหายจริงเพื่อเอาไปขอทำใหม่ ซึ่งการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานนี้ ไม่ได้มีผลที่ทำให้คุณตำรวจออกปฏิบัติการไปจับคนร้ายให้แต่อย่างใด หากต้องการให้คนร้ายต้องได้รับโทษต้องแจ้งแบบการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษสำหรับการแจ้งความแบบร้องทุกข์กล่าวโทษ ก่อนที่จะเล่า ลองมาดูหลักกฎหมายกันก่อนนะครับ ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) ได้กล่าวเอาไว้ว่า "คำร้องทุกข์ คือ การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าพนักงานว่ามีการกระทำผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งเกิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นมีเจตนาที่จะให้ผู้กระทำความผิดมารับโทษ"สาระสำคัญของการร้องทุกข์ จะอยู่ที่บรรทัดสุดท้าย คือ การกล่าวหาเช่นนั้นมีเจตนาที่จะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ ถ้าเราไม่แสดงเจตนาตามที่ว่ามา คุณตำรวจก็จะไม่ดำเนินการจับตัวคนร้าย ผลที่ได้จะเป็นเพียงการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานธรรมดา แต่หากว่าเราแสดงเจตนาที่จะเอาคนผิดมารับโทษ หลังจากบันทึกประจำวันเสร็จ คุณพี่สิบตำรวจ ก็จะพาเราเข้าไปหาคุณพี่ตำรวจที่มียศสูงกว่า ซึ่งปกติต้องเป็นคุณตำรวจระดับชั้นสัญญาบัตร คือตั้งแต่ยศร้อยตำรวจตรีขึ้นไป เรียกง่าย ๆ ว่า คุณผู้หมวด นั่นเองหลักจากนั้นคุณผู้หมวดในฐานะพนักงานสอบสวน จะดำเนินการสอบสวนเราถึงการกระทำความผิดที่เราได้กล่าวหา แล้วจะทำการบันทึกลงคอมพิวเตอร์ ดังนั้นหากมีการร้องทุกข์ โดยมีเจตนาเอาคนผิดมารับโทษ สิ่งที่เราควรจะต้องได้กลับมาคือ สำเนาบันทึกประจำวันที่เป็นลายมือก่อนประวัติศาสตร์ และสำเนาการร้องทุกข์ที่เป็นการพิมพ์ผ่านคอมพิวเตอร์ หากคุณผู้หมวดไม่ได้สำเนาให้ ก็ขอถ่ายสำเนาได้นะครับ ค่าถ่ายก็แล้วแต่คุณพี่ท่านจะกรุณา เห็นสมควรเมื่อทราบการร้องทุกข์โดยถูกต้องแล้ว ทีนี้คุณตำรวจก็จะออกปฏิบัติหน้าที่หาตัวคนร้ายมาฟ้องเป็นคดีต่อศาล ให้ศาลลงโทษผู้กระทำความผิดต่อไป เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการร้องทุกข์โดยถูกระเบียบ...Mission complete!!สำหรับท่านใดอ่านแล้ว ยังมีข้อสงสัย ไม่เข้าใจ ก็มีหลักการง่าย ๆ ที่สามารถสันนิษฐานได้ว่าการแจ้งความของท่านเป็นแบบไหน ดังนี้ครับ1. หากสิ่งที่ท่านได้กลับบ้านมีเพียงบันทึกประจำวัน นั่นคือสันนิษฐานไว้ก่อนว่าท่านได้แจ้งความเป็นหลักฐาน2. หากผู้ลงบันทึก หรือผู้สอบถาม เป็นคุณตำรวจชั้นประทวน คือ นายสิบ นายดาบ หรือ จ่า (คือสังเกตที่บ่าของคุณตำรวจนะครับ ว่ามีดาวรึเปล่า ถ้ามีเพียงเครื่องหมายอื่น ๆ โดยไม่มีดาวบนบ่าสักดวงเลย นั่นคือคุณตำรวจชั้นประทวน) ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ท่านได้แจ้งความเป็นหลักฐาน3. ถึงแม้ว่าผู้บันทึก หรือผู้สอบถามจะเป็น คุณตำรวจชั้นประทวน แต่ปรากฏว่าในบันทึกนั้นมีข้อความประมาณว่า ผู้เสียหายมีเจตนาที่จะเอาคนผิดมารับโทษ และในช่องผู้ลงลายมือด้านล่างของบันทึก มีชื่อมียศของคุณตำรวจชั้นสัญญาบัตรคือ ตั้งแต่ยศร้อยตำรวจตรีขึ้นไป เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับเรื่อง ให้สันนิษฐานว่าเป็นการแจ้งความแบบร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วที่เล่ามานี้ก็เป็นหลักที่ใช้สังเกตในเวลาที่ท่านมีความจำเป็นที่จะต้องไปแจ้งความต่อคุณตำรวจนะครับ ว่าควรจะต้องแจ้งแบบใด แล้วจะให้ผลเป็นอย่างใด ถ้าเป็นไปได้ควรมีทนายความ ผู้รู้กฎหมายตามไปแจ้งความกับท่านด้วย จะเป็นการสะดวกต่อท่านมากยิ่งขึ้นครับปัจฉิมลิขิต การพบคุณตำรวจนั้นในบางขณะก็ต้องอาศัยดวงด้วยนะครับ หากท่านไม่รู้จักกับคุณตำรวจในสถานีตำรวจนั้นมาก่อน บางท่านก็จะบริการดีดุจญาติมิตร ช่วยเหลือทุกประการ แต่บางท่านก็อาจจะเครียดกับงานการและงานบ้านก็เลยให้บริการไม่ดี รับแจ้งไม่ตรงตามเจตนาที่เราต้องการ ดังนั้นจำต้องอาศัยวิธีสังเกตตามที่ให้ไว้ข้างต้นนี้ หากรู้สึกผิดปกติไม่แน่ใจ รีบแย้งทันทีนะครับ หากคุณตำรวจยังยืนยันคำของตน ก็ควรให้คุณตำรวจผู้นั้นลงลายมือชื่อรับรองคำพูดของตน เป็นเอกสารหนังสือมาด้วยนะครับ เพราะหากไม่ทำตามนี้ แล้วความผิดที่แจ้งเป็นความผิดต่อส่วนตัวด้วย ถ้าท่านไม่แจ้งความแบบร้องทุกข์ให้ถูกต้องภายในกำหนด คดีของท่านก็อาจจะขาดอายุความได้ขอบคุณภาพประกอบ จากเว็บ pixabay : ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 ครับ...ขอบคุณครับ