ภาพหน้าปกโดยผู้เขียน “อาชีพครูที่นี่เป็นอาชีพที่มีรายได้มากที่สุดค่ะ” เป็นประโยคบอกเล่าของไกด์สาวที่พยายามสาธยายถึงความเป็นไปบนเกาะไต้หวัน ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนเกือบค่อนประเทศของที่นี่ถึงได้ถูกจัดอันดับให้มีคุณภาพอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกในหลากหลายเวที ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพชีวิต การจัดการสิ่งแวดล้อม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา หลายครั้งที่ระบบการศึกษาของที่นี่ถูกจัดให้เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย แซงหน้าญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือจีนเ ซึ่งสร้างความฉงนให้กับผู้คนไปทั่วโลก แต่มาวันนี้การที่ผมได้สัมผัสกับความเป็นไปบนความหลากหลายทางอิริยาบถและองคาพยพทางความคิดของผู้คนบนเกาะแห่งนี้แล้ว ทำให้ความฉงนนั้นเริ่มระเหิดละลายไปพอสมควร ภาพถ่ายโดยผู้เขียน แม้วันนี้เกาะไต้หวันหรือเกาะฟอร์โมซา (Formosa) ในอดีต ยังไม่ได้รับการรับรองการเป็นประเทศอย่างเป็นทางการทั้งจากองค์การสหประชาชาติ และโดยเฉพาะประเทศพี่ใหญ่อย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเห็นได้จากการที่ปัจจุบันชื่ออย่างเป็นทางการของไต้หวันยังคงใช้คำว่าสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) หรือภาษาอังกฤษคือ Republic of China (Taiwan) แต่การก้าวกระโดดจากเกาะที่ไม่น่าจะมีอะไรมาถ่วงน้ำหนักมากพอที่จะสามารถดีดเด้งตัวเองให้ไปสู่การเป็นประเทศชั้นนำได้ ซึ่งหากพินิจพิเคราะห์จากแนวคิดการยกระดับตัวเองของเกาะไต้หวันก็คงหนีไม่พ้นการเดินไปในทิศทางเดียวกันกับอีกหลายประเทศที่สามารถหลุดพ้นเส้นความยากจนไปแล้ว นั่นก็คือการมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพประชากรในชาติเป็นพื้นฐาน ซึ่งทำให้ไต้หวันสามารถคว้ามงกุฎ 1 ใน 4 เสือแห่งเอเชียไปครองได้อย่างสวยงามสมกับความตั้งใจและเพียรพยายามของรัฐบาลและการทำงานอย่างหนักหน่วงของประชาชนชาวไต้หวัน ไกด์สาวบอกกับผมว่า ครั้งนึงเธอมีโอกาสต้อนรับลูกทัวร์ซึ่งเป็นคณะครูจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย เธอตกใจเมื่อทราบภายหลังว่าลูกทัวร์คณะครูของเธอกลุ่มนี้ล้วนเป็นครูที่เกษียณอายุราชการแล้วทั้งสิ้น เนื่องจากแต่ละคนยังแลดูสวยงาม ยังดูหนุ่มสาว ในขณะที่ครูของโรงเรียนส่วนใหญ่ในไต้หวัน แม้ว่าจะอายุเพียง 25 – 30 ปี แต่หน้าตาเหมือนวัยที่เกษียณไปแล้ว ฟังดูอาจเป็นมุขตลกของเธอหารู้ไม่ว่านี่เป็นความย้อนแย้งและแอบตบหน้ากระบวนการศึกษาอันอ่อนเปลี้ยในบ้านเราอย่างแสบสัน ภาพถ่ายโดยผู้เขียน อาชีพครูของไต้หวันเป็นอาชีพที่เคร่งเครียดเอาจริงเอาจังสูงมาก การสอบเข้าบรรจุครูของที่นี่มีอัตราการแข่งขันที่สูงมาก และส่วนใหญ่อาชีพครูก็จะเป็นอาชีพที่เด็กเก่งหรือใครหลายคนหลงใหลใฝ่ฝันอยากจะเป็น ด้วยเป็นอาชีพที่มีเกียรติยศมากกว่าอาชีพอื่นใด เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูลและที่สำคัญคือมีค่าตอบแทนที่สูงมาก ว่ากันว่าเงินเดือนครูที่จบด้วยวุฒิปริญญาตรีของที่นี่เริ่มต้นที่ 30,000 บาท และในขณะเดียวกันครูก็มีหน้าที่รับผิดชอบค่อนข้างสูงเช่นกันโดยเฉพาะความรับผิดชอบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กที่อยู่ในความดูแล ตลอดจนจิตใจและการอยู่ร่วมกับสังคม ทั้งนี้การที่ครูลงโทษนักเรียนด้วยการตีไม่ใช่เป็นเรื่องปกติของที่นี่ เพราะหากครูเผลอลงไม้ลงมือกับเด็กไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะถูกร้องเรียนและมีความผิดร้ายแรงในทันที ด้วยแนวคิดที่ว่า หากเด็กเกเร ไม่เชื่อฟัง หรือทำผิด นั่นเป็นความผิดของครูที่ไม่สามารถสอน ควบคุม หรือสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่เด็กได้ แต่วิธีการหรือทางออกสำหรับในเรื่องนี้หากเด็กมีปัญหาทางการเรียนหรือเรื่องอื่นใดก็ตาม ครูมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้ง และปรึกษาหารือกับผู้ปกครองเพื่อร่วมกันวิเคราะห์ถึงมูลเหตุปัจจัย และแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกัน นอกจากจะเป็นการป้องกันตัวของครูด้วยแล้วยังเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด การลงโทษโดยการตีเด็กนักเรียนของที่นี่จึงไม่ใช่ทางออก และเป็นเรื่องที่ป่าเถื่อน แต่กระนั้น ผมก็ไม่ได้บอกว่าการลงโทษเด็กด้วยไม้เรียวเป็นเรื่องที่เลวร้ายและชั่วช้า เพราะผมก็เติบโตมากับการเรียนการสอนแบบไทยแท้ คือเติบโตขึ้นมาด้วยสติ มีความนึกคิด รู้จัก ผิด ชอบ ชั่ว ดี ก็ด้วยไม้เรียว เรื่องแบบนี้อยู่ที่บริบท และวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ด้วย ที่ต้องรู้จักหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพราะบางเรื่องเหมาะกับบางประเทศแต่อาจไม่เหมาะกับอีกบางประเทศ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ไกด์สาวยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันเธอไม่ลืมที่จะบอกเรื่องราวความเป็นมาของประเทศในแง่ของการเมืองการปกครอง โดยเฉพาะบรรดาผู้นำที่เป็นเสมือนฮีโร่ของชาวไต้หวัน แน่นอนว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ดร.ซุน ยัตเซ็น และจอมพล เจียง ไคเชก ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้พลิกโฉมประวัติศาสตร์ระหว่างจีนกับไต้หวันแล้วยังเป็นผู้นำความสมัยใหม่และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ไต้หวันซึ่งได้ทิ้งคราบรอยมาจนกระทั่งกาลปัจจุบัน แต่นั่นเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านการชำระแล้วซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญอีกประการต่อความสำเร็จในการเดินทางของประเทศ แต่สิ่งที่ผมสนใจในห้วงขณะนี้ก็คือเรื่องราวพฤติการณ์ของผู้คนในบ้านเมืองนี้ ผมรู้สึกว่าคือเมืองที่เป็นจุดกึ่งกลางหรือการผสมผสานกันระหว่างความเป็นจีนและญี่ปุ่น คือไม่ใช่เมืองที่หยาบกระด้าง เชย หรือโบราณคร่ำครึจนเกินไป และไม่ใช่เมืองที่เตลิดเปิดเปิงทางเทคโนโลยีจนเกินงาม ทุกซอกมุมของไต้หวันโดยเฉพาะในไทเปนอกจากความสวยงามของบรรดาทิวเขาที่รายล้อมเรียงตัวกันอย่างสวยงามแล้ว สิ่งที่สอดรับกันเป็นอย่างดีคือความสะอาดสะอ้านของชุมชนเมือง ภาพถ่ายโดยผู้เขียน แม้ไทเปจะมีขนาดเล็กกว่ากรุงเทพมหานคร อยู่หลายเท่าตัว ทว่าประชากรราว 3 ล้านคนนี้ กลับรักษาความสะอาดได้ในระดับดีเยี่ยมโดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการด้านขยะในเขตมหานคร ในขณะที่กรุงเทพมหานครรวมถึงในหลายเขตเมืองของประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติปัญหาขยะล้นเมือง ทั้งที่เกิดจากความอ่อนย้วยในเรื่องแนวนโยบาย และมาตรการของภาครัฐด้านการจัดการขยะ การขาดหายไปของจิตสำนึกความรับผิดชอบของผู้คนในประเทศกระทั่งกลายพันธุ์หลงเหลือเพียงความมักง่าย ผมสอบถามไกด์สาวถึงการบริหารจัดการขยะของที่นี่ เธอตอบกลับมาด้วยความปราโมทย์ นอกจากรัฐบาลไต้หวันได้ลงทุนจัดตั้งโรงงานกำจัดขยะแบบครบวงจร รัฐบาลไต้หวันยังใช้มาตรการจูงใจ คือ ครัวเรือนไหนที่สร้างขยะในปริมาณมากก็จะเก็บภาษีและค่าทิ้งขยะตามปริมาณขยะที่ทิ้ง ซึ่งค่อนข้างอยู่ในอัตราที่สูง รวมทั้งการกำหนดมาตรการแยกขยะเพื่อนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิล ตลอดจนการกำหนดเรื่องการแยกขยะไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษา และให้เด็กเหล่านี้กลับไปสอนพ่อแม่ผู้ปกครองที่บ้านอีกต่อหนึ่งซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ดังนั้นปริมาณขยะที่ไหลเข้าสู่กระบวนการกำจัดหรือทำลายจึงถูกลดทอนลงพอสมควร ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ระหว่างนั่งรถออกจากกรุงไทเปเพื่อไปชมความรุ่มรวยทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไต้หวัน ณ อุทยานแห่งชาติเย๋หลิ่ว สถานที่ซึ่งมีความโดดเด่นทางธรณีวิทยา ที่ละลานตาไปด้วยหินรูปร่างแปลกตาอันเกิดจากการผุกร่อนเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น หินที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของผู้คน หรือเศียรอลิซาเบธ ทัศนียภาพตลอดสองข้างทางในเวลานี้ช่างงดงามประหนึ่งกำลังนั่งชมทิวทัศน์บนภาพวาดโบราณของชาวจีนกระทั่งไม่อาจชวนให้ละสายตาได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ความศิวิไลซ์อีกประการของไต้หวันก็เห็นจะเป็นลักษณะภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน ผสานกับความเขียวขจีของผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ที่ถูกปกคลุมด้วยละลองไอหมอกจาง ๆ ชวนให้สบายตาและเกิดผัสสะกับความหนาวเย็นแบบพองาม ภาพถ่ายโดยผู้เขียน ทว่าเวลานี้ความงดงามของไต้หวันสำหรับผมหาใช่เพียงสิ่งที่ปรากฏอยู่ 2 ข้างทาง แต่เป็นจริตของผู้คน ความมีระเบียบ การหลอมหลวมเป็นชาติประเทศด้วยจิตวิญญาณของประชากร การยินดีที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างต่อเนื่อง การติดตั้งระบบของความคิดของคนในชาติโดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่กำลังจำเริญเติบโต ดังนั้น จึงไม่ผิดหรอกหากไต้หวันจะดีดตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของโลกได้อย่างน่าพิศชม จะเป็นไปได้หรือไม่หากเราจะย้อนกลับมาดูตัวเอง ละทิ้งความเคอะเขิน กล้ายอมรับความจริง และลุกขึ้นมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ควรจะ “แก้ไข” และ “เปลี่ยนแปลง” มัน