ภาพชาวโรฮิงญา จาก Wikipediaเหตุการณ์โรฮิงญาเป็นประเด็นที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต่างจับตามองและให้ความสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเหตุการณ์นี้เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาวโรฮิงญากับกลุ่มชาวพม่าในรัฐยะไข่ ซึ่งได้ปรากฏภาพความรุนแรงของชาวพม่าที่กระทำต่อชาวโรฮิงญาอย่างโหดร้าย ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม โดยสาเหตุที่ชาวพม่ากระทำการเช่นนี้มีหลายปัจจัย อาทิ ความคับข้องใจต่อชาวโรฮิงญาที่มีอยู่แต่เดิม หรือความรู้สึกชาตินิยม ซึ่งในบทความนี้จะเป็นการมุ่งเน้นทำความเข้าใจชาวโรฮิงญาผ่านแง่มุมทางประวัติศาสตร์อันส่งผลต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันภาพรัฐยะไข่ในปัจจุบัน จาก Wikipediaพื้นที่รัฐยะไข่ในปัจจุบันที่ชาวโรฮิงญาอาศัยอยู่แต่เดิมเป็นอาณาจักรอาระกัน หรือที่รู้จักกันในชื่ออาณาจักรยะไข่ ซึ่งเป็นอาณาจักรอิสระและเป็นเมืองท่าที่สำคัญนับตั้งแต่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 การที่อาณาจักรเคยเป็นเมืองท่ามาก่อน ส่งผลให้มีการผสมผสานระหว่างคนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนาเข้าด้วยกัน เห็นได้จากการสร้างพระพุทธรูปมหามัยมุนี วัด และมัสยิดจำนวนมากในยะไข่ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรพม่ากับยะไข่นั้นมีลักษณะเป็นการแผ่อิทธิพลอย่างหลวม ๆ ยะไข่จึงค่อนข้างเป็นเอกเทศจนกระทั่งยุคราชวงศ์คองบอง ในช่วงนี้อาณาจักรพม่าเรืองอำนาจมากจึงมีแนวคิดที่จะผนวกยะไข่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ในที่สุดพระราชโอรสของกษัตริย์โบดอว์พญาก็สามารถบุกยึดยะไข่และปลดพระเจ้าธรรมาดา กษัตริย์องค์สุดท้ายของยะไข่ออกจากราชบัลลังก์รวมถึงผนวกยะไข่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพม่า นอกจากนั้นยังนำพระพุทธรูปมหามัยมุนี กลับไปยังพม่าด้วย ภายใต้การปกครองของพม่าตลอดเวลาราว 40 ปีได้เกิดการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ โดยกองทัพพม่าได้กวาดต้อนชาวยะไข่จำนวนมากไปตั้งถิ่นฐานรอบราชธานีพม่าและเกิดการกดขี่ข่มเหงชาวพื้นเมือง ทำให้เกิดความไม่พอใจและเกิดการต่อต้านเจ้าหน้าที่พม่าเป็นวงกว้าง ทั้งจากชาวพุทธยะไข่และขาวมุสลิมโรฮิงญา โดยระหว่างนี้มีการตอบโต้กันไปมาระหว่างพม่ากับกลุ่มกบฏ จนกระทั่งสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ยะไข่จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณานิคมอังกฤษ (หลังสิ้นสุดสงครามได้มีการทำสนธิสัญญายันดาโบ ส่งผลให้พม่าเสียดินแดนอัสสัม มณีปุระ ยะไข่ และตะนาวศรี ให้กับอังกฤษ)พระมหามัยมุนี ปัจจุบันประดิษฐาน ณ วัดพระมหามุนี เมืองมัณฑะเลย์ ภาพจาก Wikipediaระหว่างการปกครองของอาณานิคมอังกฤษ พื้นที่ระหว่างยะไข่กับเบงกอลไม่มีเส้นเขตแดนที่ชัดเจนการข้ามพรมแดนจึงเป็นไปอย่างอย่างอิสระ ทำให้เกิดการผสมผสานกันระหว่างชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่เด่นชัดขึ้นและด้วยความอุดมสมบูรณ์ของยะไข่ อังกฤษจึงมีนโยบายเน้นการเพาะปลูกส่งเสริมการทำเกษตรกรรม ทำให้พวกแขกในเมืองจิตตะกองเข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินในยะไข่เป็นจำนวนมาก นโยบายนี้ส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนของครอบครัวมุสลิมเป็นจำนวนมากในยะไข่ความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์เริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกพม่าและยะไข่เพื่อเดินทัพสู่อินเดีย ฝ่ายอังกฤษ-สัมพันธมิตรได้สนับสนุนพวกโรฮิงญาและพวกคามานในการต่อสู้กับญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกันขบวนการชาตินิยมพม่าได้ติดต่อกับชุมชนพุทธยะไข่ในการต่อต้านอังกฤษ รวมถึงขับไล่พวกโรฮิงญาและพวกคามานที่ฝักใฝ่อังกฤษออกไปจากดินแดน ซึ่งระหว่างนี้ก็มีการตอบโต้กันไปมาระหว่างแนวร่วมชาตินิยมพม่า-ยะไข่กับกลุ่มมุสลิมโรฮิงญา เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้ปมขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนา ฝังรากลึกลงไปในความคิดของผู้คนในยะไข่และประชาชนชาวพม่าจนถึงปัจจุบันจากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงการเล่าเพื่อชี้ให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมาของความขัดแย้งในแง่มุมกว้าง ๆ เท่านั้น หากผู้อ่านสนใจประเด็นเรื่องความขัดแย้งของชาวโรฮิงญา ผู้เขียนแนะนำให้ลองหาหนังสือที่ชื่อว่า "โรฮิงญา รัฐ ชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และความขัดแย้ง" ของสำนักพิมพ์มติชน หนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้ถึงประวัติศาสตร์และความขัดแย้งของชาวโรฮิงญาได้อย่างละเอียดรอบด้านมากที่สุด ขอบคุณภาพหน้าปกจาก Pixabay โดย Jackson David