สวัสดีทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านบทความนี้ เชื่อว่าหลายๆ ท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ มีความสนใจในการมาศึกษาเคล็ดลับการลงทุน ฉบับมนุษย์เงินเดือน ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ Money Genius อัจฉริยะใช้เงินเป็น เขียนโดย คุณฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักในอาชีพดารา/นักแสดง วันนี้ผมจึงอยากจะมาเล่าอีกบทบาทหนึ่งในเรื่องการลงทุนของคุณฟลุค พร้อมบอกเคล็ดลับการลงทุน ฉบับมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นอย่างไร ? สมมุติ ว่าตอนนี้คุณอายุ 30 ปี เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เริ่มชำนาญการแล้ว ได้เงินเดือน เดือนละ 30,000 บาท หากออมเงินขั้นต่ำ 10% ของรายได้ คุณจะมีเงินเก็บเดือนละ 3,000 บาท ภายในระยะเวลา 1 ปี คุณจะสามารถเก็บเงินได้ปีละ 36,000 บาท หากยังทำงานเก็บเงินไปอีก 30 ปี โดยไม่นำเงินจำนวนนี้ออกมาใช้เลย เมื่อถึงวัยเกษียณ อายุ 60 ปี คุณจะมีเงินสำหรับใช้ในอนาคต เป็นจำนวนเงิน 1,080,000 บาท หากคุณต้องการใช้เงินในชีวิตหลังเกษียณ 20 ปี คุณจะมีเงินใช้ต่อเดือน 4,500 บาทเท่านั้น ซึ่งเงินจำนวนเท่านั้นยังไม่เพียงพอสำหรับชีวิตในบั้นปลายแน่นอน (ยังไม่รวมกับค่าเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นอีก) หลายๆ คนมักเลือกวิธีออมเงินที่ง่ายที่สุด นั่นคือ การนำไปฝากธนาคารในรูปแบบบัญชีออมทรัพย์ รับดอกเบี้ยต่อปีในอัตรา 1.5% เมื่อสิ้นปีเราจะมีเงินงอกเงยขึ้นมาเพียง 540 บาทต่อเดือนเท่านั้น รวมกัน 30 ปี ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากเงินต้นเพียง 16,200 บาท แสดงให้เห็นว่าการฝากเงินแบบออมทรัพย์ในธนาคารเริ่มต้นจากหลักพันสามารถถึงหลักล้านได้ภายใน 30 ปี แต่ไม่ได้ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างเพียงพอ วิธีเดียว ที่มนุษย์เงินเดือนจะเก็บเงินได้ และบุคคลทั่วไปก็สามารถทำได้อย่างง่ายๆ นั่นก็คือต้อง “เก็บก่อนใช้” เท่านั้น เป็นหลักการเบสิกง่ายๆ ที่สุดแล้ว ที่สำคัญต้องบริหารเงินที่เหลือให้ดี อาจจะเริ่มต้น 10% ของรายได้ แล้วเราต้องเก็บเยอะแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากมีชีวิตในอนาคตเป็นแบบไหน ถ้าเอาแบบคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อไปด้วยในอนาคต คือ คนเราควรมีเงินเก็บหลังเกษียณประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ต่ำที่สุดแล้ว หมายความว่า คุณจะมีเงินใช้ไปอีก 20 ปีหลังเกษียณ เดือนละประมาณ 20,000 บาท วิธีการลงทุนเบื้องต้นง่าย ๆ ให้เงินสามารถปันผลให้เราได้ คือ การเล่นหุ้น ส่วนอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน ก็คือการเล่นกองทุน ปัจจุบันมีกองทุนระยะยาว และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ การลงทุนในกองทุนเหล่านี้ยังนำไปลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีได้ รวมทั้งได้ภาษีคืนอีกด้วยเคล็ดลับข้อแรก คุณต้องรู้จักการกระจายความเสี่ยงนำไปลงทุนหุ้น การซื้อหุ้นสไตล์ฟลุค-เกริกพล คือ ห้ามซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว ต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการเอาเงินไปลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัว เลือกซื้อหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ เช่น หุ้นพลังงาน หุ้นสถาบันทางการเงิน หุ้นที่เป็นปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต และแน่นอนว่าต้อง Mass ด้วย หรือหุ้นที่อยู่ใน SET 50 เป็นหุ้นตัว TOP 50 ตัว ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นหุ้นพื้นฐานที่ดี และโอกาสล้มละลายได้ยาก โดยอาจจะกระจายการซื้อหุ้นสัก 4-5 ตัว ซึ่งมูลค่าหุ้นอาจเพิ่มได้ 3-5% ในบริษัทที่มั่นคงหรืออาจเพิ่มได้มากถึง 10-30% แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสหุ้นตกนะ มีความเสี่ยงที่ต้องยอมรับให้ได้เช่นกัน เปรียบเทียบ กับเงินที่นำไปฝากธนาคาร จากเงินต้น 36,000 บาทต่อปี สมมุติหุ้นสามารถปันผลเพิ่ม 15% (5,400) บาท ก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นมาถึงปีละ 41,400 บาท แล้วถ้าหุ้นตัวนี้เติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และดอกเบี้ยที่ทวีค่าทบต้นไปเรื่อย ๆ เช่นกัน ในระยะเวลา 29 ปี จำนวนเงินจะเพิ่มขึ้นไปถึง 2,383,623.79 บาท เมื่อเทียบกับผลตอบแทนดอกเบี้ยของธนาคารกับผลตอบแทนปันผลของหุ้น การลงทุนในหุ้นทำให้เงินต้นของเราสามารถเติบโตได้หลายเท่าตัวแนะนำคือ ต้องเป็นของที่ขายแล้วมีโอกาสได้กำไร ไม่ขาดทุน หรือขาดทุนน้อยที่สุดดังต่อไปนี้กระเป๋า ถ้าเป็นสินค้าผู้หญิง เช่น กระเป๋า Hermes จะเป็นบางรุ่นเท่านั้นคือ Birgin KELLY และ Constance ที่เป็นตัวท็อปและขาดทุนน้อย หากซื้อจากช็อปที่ฝรั่งเศสจะปิดประตูขาดทุนและกำไรเห็นๆ 30-40% เมื่อคุณจำเป็นต้องขายต่อ สมมติซื้อมาไม่ถึง 300,000 บาท ถ้าสภาพยังดีอยู่ ขายเป็นของมือสอง ขายได้เกือบ 400,000 บาท เท่ากับว่าได้กำไรตั้งแต่เดินออกจากร้านแล้วนาฬิกา นอกจากกระเป๋าแล้ว สิ่งที่น่าลงทุนมากๆ ก็คือนาฬิกาข้อมือ เช่น Patek Philippe หรือ Rolex ซื้อพวกนี้จะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน คุณฟลุคยกตัวอย่างว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วซื้อนาฬิกา Patek Philippe Nautilus ในราคา 180,000 บาท เมื่อปีที่แล้วผมขายได้ 950,000 บาท ไม่น่าเชื่อว่าพอมาในปีนี้ราคาพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 2 ล้านบาท!เพชร ห้ามซื้อเป็นสร้อยเพชร หรือแหวนเพชรเม็ดเล็กๆ หลายเม็ดก็ขาดทุน เพราะมีค่าเซตติ้ง ควรซื้อเพชรเป็นเม็ดที่มีขนาด 1 กะรัตขึ้นไป เพราะราคาขายเป็นราคากลางอีก 4-5 ปีจะแพงขึ้น หากขาดทุนเต็มที่ไม่เกิน 5-10% เมื่อคุณเก็บถึง 10 ปีราคาก็ขึ้น และเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที (หรือแม้กระทั่งทอง ก็ควรซื้อเป็นทองคำแท่งจะคุ้มกว่า)ที่ดินเปล่าในทำเลที่ดีเท่านั้นหรือมีโอกาสที่จะเป็นทำเลที่ดี ที่ดินเป็นสินทรัพย์ที่ให้กำไรมากที่สุด ไม่ขาดทุนแน่นอน เพียงแต่จะขายได้ในเวลาที่ต้องการหรือไม่แค่นั้นเอง เพราะสภาพคล่องของมันไม่ได้สูงมาก ไม่เหมือนการลงทุนในคอนโดมิเนียมที่อยู่ในทำเลที่ดี สภาพคล่องจะสูงกว่า ส่วนตัวคุณฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช ชอบที่จะลงทุนกับนาฬิกา เพราะ 1.ใส่ได้นานค่อนข้างทนทาน 2.สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที นาฬิกายังปลอดภัยกว่ากระเป๋า และหายยากกว่า กระเป๋าจะถูกทำลายให้เสียหายง่ายที่สุด แหวนเพชรก็สูญหายง่ายเพราะมีขนาดเล็ก ใครที่มีทุนทรัพย์ในการลงทุนสูง การลงทุนกับนาฬิกาจะทำให้ทรัพย์สินงอกเงยได้อย่างแน่นอน บทความนี้หากทุกคนได้อ่านกันจนถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลายๆคน คงจะได้เห็นไอเดีย เคล็ดลับการเก็บเงินให้งอกเงย นำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดให้เข้ากับการลงทุนตัวเราเอง เพราะแต่ละคนมีปัจจัยรายได้-รายได้ไม่เท่ากัน สิ่งที่สำคัญ คือ ควรบริหารให้มีรายได้มากกว่ารายจ่าย มีเงินเหลือไว้เก็บสะสม จากนั้นค่อยนำไปลงทุนให้เงินมันงอกเงยได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จด้านการเงินแล้ว สามารถอ่าน E-Book Moneye Genius เพิ่มเติมได้ลิงก์ข้างล่างนี้เลย !!!E-book website : https://www.amarinbooks.com/Preread/money-genuis-edit.pdfที่มารูปภาพหน้าปกประกอบการตกแต่ง : ภาพโดย Steve Buissinne จาก Pixabay ที่มารูปภาพที่ 1 : StartupStockPhotos จาก Pixabay ที่มารูปภาพที่ 2 : Gerd Altmann จาก Pixabay ที่มารูปภาพที่ 3 : Steve Buissinne จาก Pixabay ที่มารูปภาพที่ 4 : Quinn Kampschroer จาก Pixabay #Moneygenius #มนุษย์เงินเดือน #การลงทุน #หุ้น #อัจฉริยะใช้เงินเป็น