วันที่หกของการเดินทาง วันนี้เหลืออีกที่นึงในโปรแกรมทัวร์ ชื่อว่า "พระราชวังโดลมาบาเช่" (Dolmabahçe Palace) ซึ่งทางไกด์ได้ชี้บอกเมื่อวาน ระหว่างที่ผมนั่งเรือชมวิว ว่าตรงนั้นคือที่ๆเราจะไปเที่ยววันนี้ ด้านในจะเป็นพระราชวังที่แบ่งเป็นหลายๆห้อง เหมือนที่เราดูในหนังนั่นแหละ แต่ว่าที่นี่เขาจะไม่ปล่อยเราเดินเพ่นพ่าน เขาจะให้เราเข้าแถวแล้วเดินไปตามทางที่เขาจัดให้ ป.ล. เขาห้ามถ่ายรูปด้านใน เลยไม่มีรูปมาให้ท่านผู้อ่านดู ;-; หลังจากนั้นก็ออกมาเดินข้างนอก ได้ดูวิวริมแม่น้ำ คล้ายๆตอนที่ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์โทพคาปิที่ไปเมื่อวาน ให้ถ่ายรูปกับอาคารพระราชวัง เดินเล่นชมบรรยากาศ ฯลฯ ก่อนที่จะไปขึ้นรถที่ด้านหน้า พอขึ้นมาแล้วถึงได้เห็นว่า "โห คนเข้าเยอะมาก" มองไปแล้วก็นึกถึงอารมณ์ Zombie Apocalypse แล้วเรานั่งอยู่บนรถ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ 55555 ขึ้นรถไปสักพักก็ตรงไปสนามบินอิสตันบูลต่อเลย เพื่อที่จะนั่งเครื่องกลับกรุงเทพฯ โดยที่วันนี้ไม่มีการปิดถนน ไม่มีอะไรเลย (เมื่อวันที่ 2 มีปิดถนน เกิดอะไรขึ้นต่อ ต้องไปอ่านในบทความวันที่ 2 เอง (ไม่สปอยให้หรอก 555555)) พอถึงสนามบินแล้วก็ต้องผ่านด่านตรวจหน้าประตูก่อน ตัวผมนะ ผ่านสบายๆ แต่ว่ากระเป๋าผมผ่านไปแล้วโดนเรียกตรวจ ผมก็งงนะ ว่า "เอ๊ะ... เราไม่ได้ซื้อของผิดกฏหมายหรือของอันตรายมานิ" เจ้าหน้าที่เขาก็ดูที่จอสักพัก แล้วก็บอกให้ผมเอากระเป๋าไปสแกนใหม่ ผมก็เอาไปสแกนใหม่แบบงงๆ สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ผ่านมาได้ ผมก็คิดในใจว่า "เขาคิดว่าถั่วพิสตาชิโอ้ในกระเป๋าเป็นกระสุนปืนหรือยังไง??" หลังจากเช็คอินไปแล้ว ผมก็ถามพนักงานคูเวต แอร์เวย์ "Can I have a window seat for both leg?" เขาบอกว่าขาไปคูเวตเนี่ย ได้แน่นอน แต่จากคูเวตมากรุงเทพฯ เขาปรับที่ให้ไม่ได้ เดี๋ยวเราต้องไปขอให้ manager ที่คูเวตเปลี่ยนให้ เครื่องออก 15:50 น. เช็คอินตั้งแต่เที่ยง ทำอะไรดี... ผมเลยเดินไปทางฝั่ง East Wing ของสนามบิน เพื่อที่จะหาข้างเที่ยงกิน เดินไปเดินมา อ้าว สุดทางแล้ว แล้วร้านรอบๆ ก็มีแต่ดิวตี้ฟรี ฟู้ดคอร์ทก็คนเต็ม ผมเลยเดินย้อนไปอีกทาง เพื่อหาร้านอาหาร เดินไปแล้วก็เห็นดิวตี้ฟรีหลายๆร้านยังไม่เปิด (เพราะช่วงนั้นสนามบินเปิดมาแค่ประมาณ 2 สัปดาห์) ร้านของแบรนด์ก็มีอยู่ทั่วไป แต่คือ... ที่นี่มีร้านเลโก้ด้วย เป็นร้านใหญ่เลย แต่ว่าตอนนั้นยังไม่เปิด ไม่งั้นผมไปนั่งเล่นเลโก้แล้ว (ใจมันยังเป็นเด็กอยู่ 55555) ทานข้าวเที่ยงแล้ว ก็เดินไปรอที่เกต ระหว่างนั้นก็เดินผ่านร้านขนมหลายๆร้าน ก็แอบจิ๊กเอาขนมเตอร์กิช ดีไลท์ ที่เขามีให้ชิม มาสักชิ้นสองชิ้น 55555 แล้วก็ไปนั่งรอ ถ่ายรูปเครื่องบินไป ก่อนขึ้นเครื่อง ผมก็นึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง ที่ชื่อว่า "One Night In Istanbul" เป็นหนังที่แฟนลิเวอร์พูลต้องฝ่าพันอุปสรรค์ต่างๆ เพื่อมาดูบอลแชมป์เปี้ยนส์ลีกนัดชิง เมื่อปี 2005 สำหรับบางคนอาจจะไม่ค่อยอินเท่าไร แต่ด้วยความที่ผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลด้วย เลยอยากดูมาก (ลองไปหาดูได้ ผมก็อยากดู แต่ว่ายังหาแผ่นไม่ได้เลย :/) ได้เวลาแล้ว ก็ขึ้นเครื่อง คูเวต แอร์เวย์ เที่ยวบิน KU156 เพื่อที่จะกลับไปคูเวต ตลอดไฟลท์ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่น่าสนใจเกิดขึ้น เครื่องลงที่คูเวตตอนประมาณทุ่มครึ่ง พอเครื่องจอดแล้ว ผมก็ยืนรอกับคนอื่น เพื่อที่จะลงจากเครื่อง ระหว่างรอก็มีรถขนส่งกระเป๋ามารับสัมภาระใต้เครื่อง ตอนที่ Ground staff เปิดประตูท้องเครื่องด้านหลัง ผมไม่รู้ว่าเพราะผมยืนอยู่ใต้ประตูนั้นเลยหรืออะไร แต่ว่าผมรู้สึกว่าเขาเปิดแรงกว่าปกติ ผมเลยก้มไปที่พื้นแล้วบอกว่า "Hey, calm down over there" (ปัญญาอ่อนมั้ยละ อย่างกับว่าเขาได้ยิน 55555) อันนั้นไม่เท่าไร แต่ว่าพอผมก้าวขาไปข้างหลัง ผมก็ไปเหยียบอะไรสักอย่าง แล้วก็คิดว่า "เห้ย มันไม่ได้มีอะไรอยู่ตรงนี้นะเมื่อกี้" พอมองไปถึงกับตกใจ แล้วก็คิดในใจว่า "เห้ยยย นี่มันพลาสติกครอบสายไฟนี่หน่า หลุดได้ไงเนี่ย" เสร็จแล้วก็นึกได้ว่า "เขาเปิดประตูใต้เครื่องแรงขนาดที่ครอบหลุดออกจากตัวเครื่องเลยเหรอ 5555" ก่อนที่ผมจะเอาไปครอบที่เดิม แล้วก็เดินออกจากเครื่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น... ภาพถ่ายโดยผู้เขียน