แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ในประเทศไทยนั้นจะบรรเทาเบาบางลงไปแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ยังคงจะเกิดขึ้นในวงกว้าง ทั้งสภาพสังคมและเศรษฐกิจ เพราะในระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ผู้ประกอบการ คนทำงาน พนักงาน ลูกจ้างทั้งหลาย ต่างก็ต้องปรับ เปลี่ยน หรือแม้แต่ที่ต้องตกงานก็มีเป็นจำนวนมาก แต่ค่าใช้จ่ายกลับไม่ได้ลดลง และถึงแม้ว่าจะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนโดยภาครัฐไปบ้างแล้ว ก็ทำได้เพียงช่วยประคับประคองภาระค่าใช้จ่าย ค่าอุปโภคบริโภค หนี้สินต่าง ๆ พยุงทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปได้เพียงระยะเวลาหนึ่งโดยไม่ให้เสียเครดิต และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ตัวหนี้สินจริง ๆ ยังคงอยู่ ปัญหาก็คือมาตรการช่วยเหลือในระยะแรกนั้นกำลังจะทยอยครบกำหนดแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้หาทางช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมด้วยการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 ด้วยการเพิ่มวงเงิน ลดดอกเบี้ย โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ปรับลดดอกเบี้ย ให้มีการปรับลดดอกเบี้ย ร้อยละ 2-4 ต่อไป สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ปรับดอกเบี้ยบัตรเครดิตจากเดิมร้อยละ 18 ให้เหลือร้อยละ 16 ต่อปี ปรับลดวงเงินหมุนเวียนสินเชื่อส่วนบุคคล เช่น บัตรกดเงินสด การผ่อนชำระ การจำนำทะเบียนรถ การเช่าซื้อรถ-บ้าน ฯลฯ เพิ่มวงเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ลูกหนี้ที่มีความจำเป็นต้องการเพิ่มวงเงิน โดยต้องมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี และมีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ให้ขยายวงเงินจากปกติ 1.5 เท่า เป็น 2 เท่า ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน เป็นการชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 มาตรการขั้นต่ำ ให้มีการขยายเวลาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ COVID-19 และไม่เป็น NPLs ให้ผู้ให้บริการทางการเงิน จัดทางเลือกให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ให้เลือกได้ตามประเภทของสินเชื่อ เช่น สามารถเปลี่ยนสินเชื่อระยะสั้นเป็นระยะยาวได้ เลือกผ่อนชำระขั้นต่ำ การลดค่างวด การเลื่อนชำระค่างวด หรือเงินต้น ผู้ให้บริการทางการเงินต้องอำนวยความสะดวกด้านข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกหนี้ เช่น เปรียบเทียบจำนวนหนี้ และจำนวนงวดที่เพิ่มขึ้น เปรียบเทียบภาระหนี้เก่าและหนี้ใหม่ หรือทำความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเพิ่มจากการเลื่อนชำระหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้ผู้บริการทางด้านการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ลูกหนี้ โดยต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ เพื่อช่วยลดภาระให้ลูกหนี้ เช่น เปลี่ยนระยะเวลาสินเชื่อ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ เลื่อนชำระค่างวด ลดดอกเบี้ย ฯลฯ และให้จัดทำแผนปรับโครงสร้างหนี้ให้มีลักษณะเดียวกันกับคลินิกแก้หนี้ วิธีลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ลูกหนี้สามารถลงทะเบียนร่วมโครงการดังกล่าวผ่านช่องทางต่าง ๆ ของผู้ให้บริการทางการเงินแต่ละแห่ง ผ่านทาง Application, Website หรือ Call Center ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป แต่หากลูกหนี้ประสบปัญหาไม่สามารถติดต่อผู้ให้บริการทางการเงินได้ ก็สามารถติดต่อเข้ามาที่ ทางด่วนแก้หนี้ ของศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่ต้องการทราบเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ ของหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือต้องให้ความช่วยเหลือในด้านที่เกี่ยวข้อง หรือโทรศัพท์หมายเลข 1213 E-mail : fcc@bot.or.th หรือ www.1213.or.th ขอบคุณภาพประกอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย