เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (Saint Petersburg) เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของรัสเซียมาก่อน ตั้งอยู่ริมปากอ่าวแม่น้ำเนวา (Neva) ก่อนไหลลงสู่ทะเลบอลติก เมื่อเทียบกับมอสโกในปัจจุบันแล้ว เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมีความทันสมัยน้อยกว่า แต่รวมไปด้วยพระราชวังและโบสถ์อันงดงามหลายแห่ง อีกทั้งยังคงมีความงามของตึกเก่าแก่ และร่องรอยของประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นหลวงแห่งใหม่ของจักรวรรดิรัสเซีย (Russian Empire) แต่หลังจากนั้นเมืองหลวงของรัสเซียก็ถูกย้ายกลับไปที่มอสโกอีกครั้ง พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ได้เกณฑ์คนจำนวนมากเพื่อมาสร้างเมืองใหม่แห่งนี้ ด้วยเมืองตั้งอยู่ปากแม่น้ำจึงมีเลนจำนวนมาก เล่ากันว่าต้องใช้หินถมดินเลนก่อนก่อสร้างอาคาร แรงงานนับหมื่นคนต้องล้มตายเพื่อสร้างเมืองนี้ให้สวยงาม และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2255 แผนที่ของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ราวปี พ.ศ. 2287 ; ที่มาของภาพ https://en.wikipedia.org ผู้เขียนเดินทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วยรถไฟนอน ออกเดินทางกลางดึกจากมอสโกและถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในรุ่งเช้าของอีกวัน สิ่งแรกที่เจอเมื่อมาถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือหลงทางหาที่พักไม่เจอ แต่โชคดีที่เป็นตอนเช้าจึงยังมีเวลาให้ได้แวะลองกินอาหารพื้นเมืองที่หลงเดินผ่านไป โบสถ์หลังแรกที่เจอตอนเดินหลงทางในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คิดว่าจะกลับมาดูข้างในโบสถ์อีกครั้งแต่หาทางมาไม่เจอ ตึกเก่าในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถูกสร้างเรียงแถวไว้อย่างเป็นระเบียบ เลียบไปกับแม่น้ำเนวาและคลองต่าง ๆ บ้านเมืองสะอาดชวนมอง แต่หลังความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของตึกเหล่านั้น ได้ซ่อนประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งเอาไว้เช่นกัน เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามโลกครั้งที่ 2 บางพิพิธภัณฑ์จึงมีเรื่องราวอันน่าเศร้าเหล่านั้นไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม วันนี้สำหรับรัสเซียไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว สถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งได้ถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่ให้งดงามเพื่ออวดโฉมแก่ชาวโลกอีกครั้ง มหาวิหารเซนต์ไอแซค (St. Isaac's Cathedral) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักบุญไอแซคซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย (Alexander I) โปรดให้สร้างโบสถ์นี้ขึ้น โดยใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 40 ปี สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2401 หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เป็นเวลา 133 ปี แม้ว่าจะตั้งใจสร้างให้เป็นโบสถ์ แต่รัฐบาลโซเวียตในขณะนั้นได้เปลี่ยนให้มีสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์และยังคงสถานะนี้มาจนถึงปัจจุบัน ด้านหน้าโบสถ์มีพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช วิวของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จากด้านบนมหาวิหารเซนต์ไอแซค พระราชวังฤดูหนาว (The Winter Palace - Hermitage Museum) แรกเริ่มเป็นเพียงวังที่สร้างด้วยไม้ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช หลังจากนั้นจึงมีการก่อสร้างขึ้นใหม่และต่อเติมอีกหลายครั้งโดยจักรพรรดิหลายพระองค์ เคยถูกไฟไหม้บางส่วน และครั้งหนึ่งได้ใช้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราว ปัจจุบันตัวอาคารเป็นตึกสถาปัตยกรรมแบบบารอก สูง 2 ชั้น ความสูงราว 30 เมตร แนวอาคารเป็นสี่เหลี่ยมมีสวนต้นไม้อยู่ตรงกลาง พระราชวังฤดูหนาวเป็นพระราชวังที่งดงามอีกแห่งหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงค์โรมานอฟ มายาวนานถึง 150 ปี ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ในปี พ.ศ. 2460 ภายในตกแต่งไว้อย่างสวยงาม มีศิลปวัตถุต่าง ๆ รวมถึงภาพวาดอันทรงคุณค่ามากมาย โบสถ์แห่งหยดเลือด (The Church of the Savior on Spilled Blood) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2426 โดยจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย (Alexander III) เพื่อระลึกถึงจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (Alexander II) ผู้เป็นพระราชบิดา ตั้งอยู่ริมคลอง Griboedov ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2424 ขณะที่จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทรงรถผ่านไปตามเขื่อนริมคลอง Griboedov ได้มีผู้ลอบปลงพระชนม์โดยใช้ระเบิด ทำให้มีพระโลหิตไหลออกมาก ราชองครักษ์ได้นำพระองค์กลับไปที่พระราชวังฤดูหนาวและเสด็จสวรรคตในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตัวโบสถ์ได้สร้างให้คร่อมเข้าไปในคลองบางส่วน เพื่อให้บริเวณของถนนที่จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 เสด็จผ่านไปนั้น ได้อยู่ในส่วนของผนังโบสถ์ด้วย พระอาทิตย์เที่ยงคืน (White Nights or Midnight Sun) คือช่วงกลางคืน ดึกแล้วแต่ท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ จะเกิดขึ้นกับประเทศที่อยู่เหนือเส้นวงกลมอาร์กติกขึ้นไป ซึ่งก็คือประเทศที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ เช่น นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ บางเมืองของแคนนาดาและสหรัฐอเมริกา ฯ ช่วงพฤษภาคมที่ผู้เขียนเดินทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เท่าที่สังเกตคือท้องฟ้าไม่ได้สว่างมากจนเห็นดวงอาทิตย์ชัดเจน แต่ 4 ทุ่มแล้วก็ยังสว่างอยู่ ทำให้ได้ภาพสวย ๆ ติดมือมาด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org http://www.saint-petersburg.com ภาพถ่ายโดยผู้เขียน