สภาพอากาศตอนปลายฤดูใบไม้ผลิราวต้นเดือนพฤษภาคมในเมืองซีอานอบอุ่นขึ้นมากจนถึงเกือบร้อน หากยังอยากสัมผัสความเย็นระดับสิบองศากว่าๆ มีทางเดียวคือต้องอพยพไปทางตะวันตกในเขตมณฑลชิงไห่ ทิเบต หรือ "ซินเจียง" ฉันใช้เวลากว่า 120 ชั่วโมง ดั้นด้นเดินทางฝ่าทั้งร้อน หนาว ทะเลทราย ความแห้งแล้ง จากเมืองซีอานอดีตราชโบราณของจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นของ "เส้นทางสายไหมโบราณ" คืบคลาน ผ่านแวะไปทีละเมืองสองเมืองตามทางรถไฟ ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว หวาดระแวง สับสน สารพัดสารพันความรู้สึก ในที่สุดม้าเหล็กบนรางคู่มาตรฐานจีนแดงก็นำพาหญิงไทยหนึ่งเดียวมาส่งที่เมืองปลายทางที่ได้เลือกไว้ คัชการ์คือที่แห่งนั้น แม้จะช้าไปถึง 2,000 กว่าปีที่ไม่ทันได้เห็นความรุ่งเรืองของอดีตเมืองโอเอซิสขนาดใหญ่บนเส้นทางสายไหมโบราณที่ลากผ่านจากเอเชียไปจนถึงขอบทวีปยุโรป แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา ว่าไหม? "เมืองคัชการ์" (Kashgar) หรือ "คาสือ" (Kashi) ในภาษาจีนกลาง ในวันนี้ยังคงรุ่งเรือง แม้มิได้รุ่มรวยด้วยความเข้มข้นหลากหลายทางวัฒนธรรมของพ่อค้า นักเดินทาง กองคาราวาน ผู้จาริกแสวงบุญ จากกลุ่มคนเชื้อชาติชนเผ่าต่างๆ เฉกเช่นกาลก่อน ผนวกกับนโยบายการปกครองภายในของประเทศจีนที่ค่อนข้างเข้มงวดกับชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะ "ชาวมุสลิมอุยกูร์" ที่มีปัญหากระทบกระทั่งกันมายาวนาน ปัจจุบันคาดว่าชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นคนดั้งเดิมกลุ่มใหญ่ของพื้นที่กับชาวฮั่นที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาใหม่เพื่อตักตวงแสวงหาโอกาสในการทำมาหากิน จะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น (ราวๆ 60-40) แรกเริ่มเดิมทีฉันมีความตั้งใจแค่มาซึมซับบรรยากาศของผู้คนและเมืองเก่า ซึ่งก็ได้ดูได้ชมสมใจ หากแต่ภาพของบ้านเมืองที่ได้พบเห็น บรรยากาศในตลาดและตามท้องถนนบนตรอกซอกซอยที่ได้พบเจอ กลับเหมือนมีเส้นบางๆ ที่ขวางกั้นผู้คนออกจากกัน สีหน้าแววตาของเขาเหล่านั้นบ่งบอกว่ามีอะไรอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่ทำได้เพียงส่งยิ้มบางที่ฝืดฝืนมาปลอบประโลมให้กำลังใจกันได้เท่านั้นเอง หวังว่ารอยยิ้มกว้างของสาวไทยจากดินแดนแห่งยิ้มสยามอันไกลโพ้นจะสามารถทำหน้าที่ของมันได้ดีเหมือนที่ผ่านมา ปัจจุบันตึกรามบ้านช่องใน ย่านใจกลางเมืองเก่าคัชการ์ ราวร้อยละ 80 เป็นผลจากการรื้อล้างและสร้างใหม่ให้เหมือนเก่าจากรัฐบาลจีน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา สถานที่สำคัญทางศาสนา ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวไปมาเหมือนเขาวงกต ตามสองข้างทางเป็นบ้านเรือนซอมซ่อก่อด้วยอิฐฉาบโคลน รวมถึงโครงสร้างป้อมปราการของเมือง ถูกบูรณะปรับปรุงขึ้นใหม่ให้สวยงามเป็นระเบียบ มีสีสันสดใสชวนมอง ประดับประดาด้วยไม้กระถาง และสวนไม้ดอกไม้ประดับขนาดเล็กหน้าบ้าน ที่พอจะทำให้วันคืนในคัชการ์ไม่แห้งแล้งเหี่ยวเฉาจนเกินไปนัก ประมาณการว่าเม็ดเงินที่ใช้เพื่อการบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมเมืองสูงถึงกว่า 7 พันล้านหยวน หรือราว 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของเมือง ถัดจากย่านใจกลางเมืองเก่าไปแค่ถนนกั้น พื้นที่ส่วนนี้กำลังอยู่ภายใต้โครงการบูรณะปรับปรุงของรัฐบาลจีน แม้บ้านช่องห้องหับจะมีสภาพผุพังและทรุดโทรม แต่ยังพอทำให้ซึมซับจิตวิญญาณความเก่าขลังดั้งเดิมของเมืองได้อยู่บ้าง ทว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยคงเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งที่ผ่านการพัฒนาไปก่อนหน้านี้แล้ว ตลาดอาหารยามเย็น (Kashgar Street Food Market) บริเวณทางเข้าเมืองเก่า ฝั่งตรงข้ามมัสยิดอิดคาห์ (Id Kah Mosque) มัสยิดใหญ่ประจำเมืองคัชการ์ ดูจะเป็นสถานที่เดียวที่รวบรวมนักเดินทางจากแดนใกล้และแดนไกลเข้าไว้ด้วยกัน หากอยากรู้ว่าวันนั้นมีจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนเมืองนี้มากน้อยแค่ไหน ตกเย็นให้ไปเดินเตร็ดเตร่เกร่มองที่ตลาดแห่งนี้รับรองไม่ผิดหวัง ตลอดสามวันที่เดินเล่นเป็นพระยาน้อยชมเมือง ฉันไม่พลาดที่จะฝากท้องไว้ที่ตลาดแห่งนี้ทุกเย็น ก่อนจะค่อยๆ คลำทางกลับที่พักในเวลาโพล้เพล้ใกล้มืด ในบรรดาอาหารท้องถิ่นหลากหลายที่วางขายอยู่นั้น ซุปเกี๊ยวไส้ผักคือจานหลักช่วยชีวิต เพราะรายการที่เหลือล้วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหนังมังสาและเครื่องในของแพะและวัว ที่บางร้านแขวนน้องให้เห็นทั้งตัว ก่อนจะตัดออกมาปิ้งย่างทีละชิ้นทีละส่วนให้ได้ซื้อกัน พอเห็นแบบนั้นก็ใจบาง สงสารน้องจนกินไม่ลง สามวันในคัชการ์จะว่าเร็วก็เร็ว หากเทียบกับเวลาที่หมดไปบนรถไฟจากซีอานจนถึงเมืองปลายทางเส้นทางสายไหมโบราณบนแผ่นดินจีนแห่งนี้ จะว่าช้าก็เนิบช้าไปตามจังหวะจะโคนการใช้ชีวิตของผู้คนที่ง่ายงามและเงียบงัน มิได้อึกทึกคึกโครมเฉกเช่นเมืองใหญ่ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฉันมาช้าไป 2,000 กว่าปีหรือเปล่านะ Travel Tips: คัชการ์ (Kashgar) เป็นเมืองตะวันตกไกลของประเทศจีนใน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur Autonomous Region) ห่างจากซีอานและปักกิ่งประมาณ 3,700 และ 4,000 กิโลเมตร การเดินทางมีเที่ยวบินตรงจากซีอานและปักกิ่ง โดยใช้เวลาบินราว 5 และ 6 ชั่วโมง ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถเดินทางเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย (แต่ใช้เวลานานกว่ามาก) ด้วยรถไฟเช่นกัน เดือนที่อากาศกำลังดี เหมาะแก่การเดินเล่นชมเมือง เพราะไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปนัก ได้แก่ เมษายน กันยายน และตุลาคม อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 10 องศาเซลเซียส และสูงสุดราวๆ 20-25 องศาเซลเซียส เวลาในเขตซินเจียง หากเทียบกับเวลามาตรฐานที่ปักกิ่ง เช้าคือ 10 โมง เที่ยงคือบ่าย 2-3 และยามเย็นโพล้เพล้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินราว 1-2 ทุ่มโดยประมาณ *รูปภาพประกอบบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน