“Tbilisi มันอยู่ส่วนไหนของโลกกันนะ?” เวลามีคนพูดถึงชื่อเมืองนี้เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจไม่เคยได้ยิน และมีความคิดในหัวว่า มันคืออะไร เมืองเหรอ แล้วเมืองอยู่ที่ไหน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย ไม่ใช่เมืองที่เป็นที่รู้จักของคนไทยเท่าไหร่ แต่วันนี้เราจะพามาดูเมืองนี้ให้เหมือนกับลากไปเดินด้วยกันให้ชมแบบหมดเปลือกในฐานะคนที่เคยเผลอไปเยือนแล้วตกหลุมรัก เอาล่ะ Tbilisi ก็คือเมืองหลวงของประเทศ Georgia อยู่ระหว่างชายแดนของทวีปเอเชียและยุโรป Georgia เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของโรมัน ดังนั้นสถาปัตยกรรมส่วยใหญ่จะเป็นแนวโรมันสวยงาม เหตุผลที่ว่าทำไมเรามาที่นี่เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไปงานที่ดูไบ แล้วพอเสร็จงานอย่างเที่ยวต่อ เลยดูว่าที่ไหนไม่ต้องขอวีซ่า และได้เจอประเทศจอร์เจียที่คนไทยสามารถอยู่ได้แบบไม่มีวีซ่า 365 วัน แถมค่าครองชีพยังถูกมาก ๆ ไปอีก เราเดินออกจากโรงแรมมาช่วงเช้า ๆ อากาศดีและท้องฟ้าสดใสเป็นสีครามตัดกับสีของบ้านเรือนที่เป็นสีครีมและเหลืองนวล ๆ นับว่าเป็นเช้าที่สวยงามมาก เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการจิบกาแฟลาเต้หอมกรุ่นพร้อมกับครัวซองต์เนยสดที่คาเฟ่เล็ก ๆ ริมแม่น้ำ Mtkvari ย่านเมืองเก่าแถว Royal Bath เราจิบกาแฟไปนั่งวางแผนว่าวันนี้จะทำอะไรดี สุดท้ายมาจบลงที่วันนี้เราจะเดินเล่นในเมืองเก่าแบบเรื่อย ๆ ไม่รีบ เจออะไรน่าสนใจก็แวะ เจออะไรน่าอร่อยก็ชิม พอท้องอิ่มเราก็เริ่มออกเดินทันที ที่แรกที่เราแวะคือ Royal Bath ที่เป็นบ่อน้ำเก่าสมัยโรมัน แต่ปัจจุบันก็ยังเปิดให้เข้าชมและสามารถไปแช่น้ำแร่ได้ หากเดินเข้าไปใกล้ ๆ จะได้กลิ่นกำมะถันเตะจมูกมาก่อนเลย บ่อน้ำนี้จะมีลักษณะเป็นรูปโดมผุดจากพื้นดิน ถัดไปไม่ไกลเป็นทางขึ้นไปป้อมปราการเก่า Narikara Fortress เดาเดินผ่านประตูทางเข้าแล้วปีนภูเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อไปชมเมือง เป็นการปีนที่เหนื่อยมาก แต่พอมาถึงข้าบนแล้วมองลงไปเห็นทิวทัศน์ทั้งเมืองแล้วหายเหนื่อยและคิดว่ามันคุ้มค่ากับการถ่อสังขารขึ้นมามาก จากนั้นเราได้เดินชมรอบ ๆ ป้อมปราการชมศิลปะสมันโบราณ ได้เวลาข้าวเที่ยงแล้วจ้า วันนี้มีปลาเทราท์ย่างและสลัดมะเขือเทศ อาหารพื้นเมืองที่นี่บอกเลยว่าหน้าตาดูดีมากแต่รสชาตินี่ก็เค็มมาก ๆ ที่เราทานได้จะมีสลัด สเต็ก ประมาณนี้ หลังจากทานข้าวเที่ยงแล้วพวกเราเดินต่อไปที่โบสถ์ แต่ระยะทางค่อนข้างไกลเพราะต้องเดินอ้อม เขาปิดถนนซ่อมทาง สรุปใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึง พระอาทิตย์เกือบตกแล้ว และเท้าบวมมาก และหลงทาง ถามทางจากคนท้องถิ่นเขาก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลย ต่างคนต่างงงด้วยการใช้ภาษามือ ฮ่า ๆ แต่สุดท้ายพวกเราก็มาถึง โบสถ์นี้ชื่อว่า Ejmiatsin Armenian Church เป็นโบสถ์สไตล์อาร์มีเนีย ข้างในตกแต่งสวยงามดูขลังแต่เขาอนุญาตให้ถ่ายรูปได้บางส่วนเท่านั้น แม่ชีได้เชิญพวกเราเดินดูรอบ ๆ มีกิจกรรมหลายอย่างมากที่จัดขึ้นโบสถ์ เช่น สวดมนต์ขอพรพระเจ้า สอนภาษาเด็กเล็ก ปลูกผัก และอื่น ๆ อีกมากมาย จากการคุยกับแม่ชีทำให้เราได้รู้ว่าคนที่นี่เคร่งศาสนามาก จะเข้าโบสถ์กันทุกวันอาทิตย์ และปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ทำให้เราเข้าใจวัฒนธรรมของคนที่นี่ขึ้นมาเยอะเลยว่าทำไมการใช้ชีวิตเขาเป็นแบบนี้ มันได้รับอิทธิพลมาจากศาสนามาก ๆ นี่เอง การเดินชมเมืองในวันนี้มันทำให้เราได้เห็นอะไรที่แตกต่างจากบ้านเรา ทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต ทัศนคติ วัฒนธรรมของคนที่นี่ มันทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้น เมื่อเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นมันทำให้เราเกิดความเห็นอกเห็นใจ และอยากสร้างมิตรภาพขึ้น เราแอบคิดนะ ว่าอยากให้โลกนี้มีแต่ความเข้าใจ มีแต่ความสงบสุข ให้ทุกคนรักกัน โลกคงจะน่าอยู่มากขึ้นอีกเป็นกอง วันนี้เราขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ เดี๋ยวรอบหน้าเราจะมารีวิวการไปเล่นสกีที่จอร์เจียให้ดู ว่าจะสนุกขนาดไหน ขอให้ทุกคนที่อ่านบทความของเราและผู้ติดตามเรามีแต่ความสุขในชีวิต เราขอส่งพลังบวกให้นะคะ ภาพถ่ายทั้งหมดโดยนักเขียน