การมีมหาลัยในฝัน ได้เรียนคณะที่ใช่ สาขาที่ชอบ เป็นความสุขของเด็กๆที่ตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลายๆคน เมื่อได้เข้าไปเเล้วหลายๆคนก็อาจจะตื่น เพราะสภาพเเวดล้อมที่เปลี่ยนจากโรงเรียนเป็นสังคมการเรียนแบบผู้ใหญ่ คนที่ก้าวเข้าไปแล้วปรับตัวได้เร็วถือเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่บางคนเข้าไปอาจจะปรับตัวไม่ได้ หรือรู้สึกว่าที่ ๆก้าวเข้าไปยังไม่ถูกใจก็ไม่เป็นไร เราอาจจะค่อยๆดูไปเรื่อย ๆว่าเราจะสามารถปรับตัวได้ไหม แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ และทางบ้านอนุญาตให้ย้าย หรือดรอปได้ เราก็อาจจะทำเเบบนั้น ดิฉันยอมรับว่าดิฉันย้ายมาสองคณะ จากนิติศาสตร์ที่ทางบ้านบังคับให้เรียน ไปศิลปศาสตร์เอกภาษาอังกฤษแต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่ จนกระทั่งมาเรียนรัฐศาสตร์ที่เป็นคณะที่ใฝ่ฝันเอาไว้และรู้สึกได้เลยว่าตรงนี้คือที่ของเราจริงๆ ช่วงที่ขอทางบ้านย้ายคณะเป็นช่วงที่กดดันมาก เพราะกว่าที่บ้านจะยอมก็ใช้เวลานาน แล้วด้วยระบบการรับต่างๆก็เปลี่ยนไป ไหนจะโควิดที่ทำให้เลื่อนสอบ และสิ่งที่ยากมากก็คือการพยุงใจเอาไว้ให้เข้มเเข็งมากที่สุดเพื่อเตรียมรับผลที่อาจจะไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะถ้าเราเกรดไม่ดี หรือไม่มีอะไรที่โดดเด่นต่างจากคนอื่นก็เสี่ยงที่จะตกรอบสัมภาษณ์ได้ แต่สุดท้ายดิฉันก็ผ่านมาได้ เมื่อเราคิดที่ย้ายคณะ สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือ จะย้ายไปไหน ย้ายเเล้วเรียนได้ไหม จะเรียนจบไหม เเละจบแล้วมีโอกาสหางานมากน้อยเเค่ไหน ระบบรับสมัครในตอนนั้นเป็นยังไง เราต้องตัดสินใจให้ได้ว่าเราจะไปที่ไหน และต้องศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน จะได้ไม่พลาดข่าวสารและขั้นตอนการสมัคร ต่อมาเมื่อเราคิดที่จะย้ายแล้ว เราต้องพร้อมยอมรับสิ่งที่ตามมาคือ ที่บ้านอาจจะไม่ยอม คนรอบตัวเริ่มพูดจาเสียดสี ความรู้สึกของเราที่เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ที่สำคัญคือเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน เราจะรู้สึกขาดที่พึ่ง รู้สึกตัวคนเดียว ไม่มีใครเข้าใจ และหมดกำลังใจ วิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้คือ การเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง เชื่อใจตัวเองเอาไว้ พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆที่จะมาทำลายความมันใจของเรา เเละพยายามหาสิ่งที่เพิ่มกำลังใจให้เราอยู่เสมอ ถัดมาคือการหันหน้าเข้าเจรจากับทางบ้าน บางครอบครัวอาจจะอนุญาตเลย แต่บางครอบครัวที่คาดหวังกับลูกไว้มากเราอาจจะต้องใช้เวลาในการอธิบาย สิ่งสำคัญคือเราจะต้องเจรจากันด้วยเหตุผล และบอกความรู้สึกของเราโดยหลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ให้ได้มากที่สุด เมื่อทางบ้านอนุญาต ตัวเรามีเป้าหมายแล้ว และผลการเรียนเข้ากันได้กับเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยตั้งไว้แล้ว เราต้องเตรียมผลงาน เเละรางวัลเก่าๆที่เรามี ไม่ใช่ว่าเอาแต่ผลงานเด่น ๆอย่างเดียว แต่เอามาให้หมด เกียรติบัตรมีเท่าไหร่เอามาใส่ในเเฟ้มผลงานไว้ให้หมด และสร้างเเฟ้มผลงานที่บ่งบอกคววามเป็นตัวเราออกมา และถ้ามีการสอบข้อเขียนก่อนการสอบสัมภาษณ์ เราจะต้องเตรียมตัวตอบข้อสอบ (โดยส่วนมากถ้ามีข้อเขียนก่อนการสอบสัมภาษณ์ จะเป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของสายที่เราจะเข้าไป) #อย่าลืมซ้อมพรีเซนต์ตัวเองก่อนไปสอบสัมภาษณ์ล่ะ!!! ในวันสอบสัมภาษณ์ ตั้งสติไว้ ถ้าเราตื่นตระหนกมากก็ให้หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกยาว ๆ ค่อย ๆทำ อาจจะเดินไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ล้างมือ ล้างหน้า มันจะทำให้เราสงบมากขึ้น และในตอนสอบสัมภาษณ์ ถ้ากรรมการถามเรื่องที่เราย้ายให้ตอบตามความจริง (โกหกไปก็เท่านั้นเขาดูออก) ตอนตอบคำถามอะไรที่รู้ก็ตอบอย่างมั่นใจ อะไรที่ไม่รู้ให้พูดว่า “เรื่องนี้ผม/หนูไม่ทราบจริง ๆ ครับ/ค่ะ รบกวนกรรมการ/อาจารย์อธิบายให้ผม/หนูฟังได้ไหมครับ/คะ” หรือเราอาจจะพูดว่า “เรื่องนี้ผม/หนูไม่ทราบจริง ๆ ครับ/ค่ะ เอาไว้ผม/หนูจะกลับไปศึกษาเพิ่มเติมให้ชัดนะครับ” (ถ้าโอกาสสอบติดน้อยพยายามแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้) และรอฟังผลการสอบ สุดท้ายนี้ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้คนที่จะซิ่วหรือย้ายคณะทุกๆคน ขอให้อย่าเอาคำพูดคนลบ ๆของคนที่ไม่มีประโยชน์มาตัดสินเรา ชีวิตเป็นของเรา เชื่อมั่นในตัวเองเอาไว้ คิดเสมอว่าเราทำได้ แลถ้าจะลงมือทำต้องทำให้เต็มที่สุดความสามารถของเรา ผลจะออกมายังไงเราคือคนกำหนด ไม่ใช่โชคชะตาหรือคำพูดคนเครดิตภาพจาก : www.canva.comเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !