หลังจากที่คณะกรรมการอาหารและยา อนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11ปี โดยให้ฉีดตามความสมัครใจ ก่อนหน้านี้เริ่มมีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กและวัยรุ่นอายุ 12 ปี ขึ้นไป พบผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็กชาย ซึ่งทำให้ในการรับวัคซีนเข็มสองเป็นการรับตามความสมัครใจ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ในเด็กเล็กต่ำกว่า 12 ปี ควรได้รับวัคซีนโควิด 19 หรือไม่ภาพ Daniel schludi/unsplashหากดูจากสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทย จากการระบาดระลอก 3 ตั้งแต่ช่วง 1 เม.ย. 2564 - 24 พ.ย. 2564 ผู้ติดเชื้อที่เป็นเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น สามแสนกว่าราย เด็กเสียชีวิตสะสม 59 ราย การระบาดในผู้ใหญ่ลดลง เนื่องจากมี การฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่จำนวนมาก และเริ่มมีการฉีดวัคซีนในเด็ก การติดเชื้อในเด็ก และวัยรุ่นเริ่มลดลงเล็กน้อย แต่ถ้าพิจารณาจากข้อมูลต่างประเทศเมื่อมีการระบาดสายพันธุ์ Omicron จะสังเกตได้ว่า มีการระบาดในเด็กเพิ่มมากขึ้น จึงน่ากังวลว่าจะมีการติดเชื้อในเด็กเพิ่มมากขึ้นหากเกิดการระบาดของสายพันธุ์ Omicron ในช่วงหลังปีใหม่ภาพ Kuanish reymbaev /unsplashด้วยความรู้จนถึงปัจจุบัน มีข้อมูลชัดเจนว่าการฉีดวัคซีนนั้นจะช่วยในแง่การกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันในน้ำเลือดและระดับเซลล์ เพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ โดยช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยรุนแรง และลดโอกาสเสียชีวิต ข้อมูลจาก CDC รายงานว่า การติดเชื้อโควิด 19 เป็นสาเหตุ 1 ใน 10 อันดับ ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในเด็กทั่วโลก ดังนั้น การฉีดวัคซีนในทุกช่วงอายุย่อมมีความจำเป็น โดยเฉพาะในเด็กซึ่งต้องยอมรับว่ามีการระมัดระวังตัวน้อยกว่าผู้ใหญ่ และยากต่อการบังคับให้ปฏิบัติตามมาตรการภาพ Mika baumeister/unsplashขนาดวัคซีนที่ใช้นั้น ทางอย.แนะนำให้ลดขนาดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของขนาดปกติในผู้ใหญ่ คือ 10 ไมโครกรัม โดยฉีดเข้ากล้าม จำนวนฉีด 2 เข็ม ระยะห่าง 3-12 สัปดาห์ เช่นเดียวกับการฉีดในผู้ใหญ่ ข้อมูลการฉีดวัคซีนในเด็กของต่างประเทศ เริ่มมีนโยบายฉีดวัคซีนในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี แล้ว ไม่ว่าจะเป็น องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicine Agency) ซึ่งประกาศรับรองการฉีดในเด็กตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หรือประเทศในอาเซียน คือ สิงคโปร์ ก็มีแพลนให้วัคซีนในเด็กตอนสิ้นปี 2564 เช่นกัน ในแง่ประสิทธิผลของวัคซีนชนิด mRNA ในเด็ก พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่อายุ 16-25 ปี สามารถป้องกันอาการป่วยเท่ากับ 90.7% ซึ่งเป็นการศึกษาในช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ส่วนเรื่องผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนนั้น ยังไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงรวมถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจมีพบผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนทั่ว ๆ ไป เช่น ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด ปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลีย โดยสรุป จากข้อมูลข้างต้น ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คิดว่าเป็นความจำเป็นที่ผู้ปกครองควรพิจารณาการให้วัคซีนกับลูกหลานที่เป็นเด็กเล็ก เนื่องจากเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อมากที่สุดในช่วงนี้ เนื่องจากไม่มีภูมิป้องกันใด ๆ ในร่างกายเลย โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัว สมควรอย่างยิ่งที่ต้องได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบในระยะยาวจากอาการอื่น ๆ หลังติดเชื้อได้ เช่น ในเรื่องภาวะการทำงานของปอดเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะแพร่ระบาดโรคไปยังผู้อื่นได้ง่าย เนื่องจากมีการระมัดระวังตัวน้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการแพร่เชื้อเมื่อไปโรงเรียนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากมีการฉีดวัคซีนจะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ แต่ถ้าดูถึงความเสี่ยงรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีโอกาสเกิดน้อยเมื่อเทียบกับผลเสียจากการติดโควิด และเมื่อรักษาสามารถหายเป็นปกติได้ น่าจะเกิดความคุ้มค่าในการเลือกฉีดวัคซีนมากกว่าภาพ Kelly sikkema/unsplashคาดว่า น่าจะมีการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์มาดำเนินการฉีดให้กับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ได้ในช่วงต้นปี 2565 ข้อมูลในบทความนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยตัดสินใจในการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ที่มีบุตรหลานได้ ในช่วงที่กำลังเริ่มระบาดรอบใหม่นี้ ให้เพิ่มการระมัดระวังในเรื่องการล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย สังเกตอาการหากไม่สบายก็ตรวจรักษาโดยไม่ไปปะปนกับเด็กคนอื่น ๆ นั่นคือการป้องกันได้ดีที่สุดภาพปก CDC/unsplash เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !