ถ้าคุณต้องเจอคำถามนี้ คุณมีข้อเสีย และ จุดอ่อนอะไรบ้าง? คนส่วนใหญ่ก็จะบอกและแนะนำให้เราตอบว่าเอาข้อเสียเหมือนกับว่าเป็นข้อดีหรือจุดอ่อนที่ฟังดูแล้วเป็นจุดแข็ง อย่างเช่น คนที่สมบูรณ์แบบมากๆ คุณก็ถูกจะเรียกมาตอบ คำตอบนี้ขอห้ามเด็ดขาดเลยนะครับ เพราะกรรมการได้ฟังจนชินหูหมดแล้ว เพราะคนอื่นมาตอบเยอะมาก ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าจะไม่ดีแต่มันก็คือดี เพราะฉะนั้นผมมองว่า ให้เราดูตำแหน่งงานที่เราสมัครอย่าบอกข้อเสียที่ มันจะไปกระทบกับตำแหน่งงานที่เราไปสมัคร หรือความรับผิดชอบที่เรามี เช่น งานที่มันต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบมากๆ เช่นงานเกี่ยวกับบัญชี เกี่ยวกับตัวเงินตัวเลข อย่างนี้ แล้วคุณไปตอบว่า คุณเป็นคนที่ไม่ละเอียดรอบคอบเท่าไหร่ มันก็จะไปขัดกับความรับผิดชอบ สิ่งที่เขาต้องการคนมาทำงานนี้นะครับ ซึ่งอาจจะ ทำให้คำตอบนี้ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลองตอบข้อเสียที่แก้ไขได้ ไม่ยากเกินไปเช่นผมเป็นคนคิดเยอะครับ บางทีเราอาจจะใช้เวลาในการทำงานมากเกินความจำเป็น ผมเลยต้องมาจัดลำดับความสำคัญ ว่าอันไหนควรจะทำก่อนทำหลัง ลองใส่ Deadline เข้าไปในแต่ละงาน ให้เราสามารถจัดลำดับและจัดการเวลาได้ดี อันนี้คือสามารถตอบได้ เรารู้จุดเสียของตัวเอง แล้วเราจะเอามันมาแก้ไขอย่างไร หรือคุณจะลองตอบแบบนี้ก็ได้ "ผมเป็นคนที่ความจำดี เวลามีงานเข้ามาเยอะเยอะ บางครั้งมันก็ทำให้ผมลืมอะไรบางอย่างไปได้ ผมจึงต้องมาทำเช็คลิสต์ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นเครื่องมือช่วยกันพลาดกันลืมได้ดี เยอะเลยทีเดียวครับ" คือการที่คุณตอบแบบนี้ ฟังแล้วมันเข้าใจได้ ทุกคนมันไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด มันก็ต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และจุดอ่อนบ้าง เพียงแต่ว่าคนที่เขาถามคำถามมา อยากรู้ว่าคุณรู้จุดอ่อนจุดแข็ง ของคุณไหม คุณมีวิธีแก้ จุดอ่อนของคุณไปบ้างหรือยัง ผมมองว่าการที่เรายอมรับจุดอ่อนหรือข้อเสีย มันจะทำให้เราระมัดระวังตัวเองมากยิ่งขึ้น ถ้าเราตอบคำตอบไปแล้ว เหตุผลหรือวิธีแก้ปัญหา ที่เราทำไปบ้างแล้ว มันจะทำให้ข้อเสียและจุดอ่อน ของเรา ฟังแล้วมันดูเบาลงแล้วก็อย่า ไปตอบข้อเสียจุดอ่อน เช่น นอนดึกตื่นสายกินเก่ง ให้ลองเลื่อน ไปตอบแบบ อื่น จะดีกว่า ถ้าคุณต้องเจอคำถามนี้ ถ้าบริษัทรับคุณเข้ามาทำงานคุณจะทำอะไรให้กับบริษัทหรือองค์กรบ้าง เป็นอย่างแรก ? คำตอบที่ผมคิดได้และจัดเตรียมไปตอบคือ ถ้าคุณได้เข้ามาบริษัทนี้หรือองค์กรนี้ สิ่งแรกที่คุณอยากจะทำมากที่สุดคืออะไร ผมตอบไปว่า "สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ ใช้เวลาในการศึกษาองค์กรและเพื่อนร่วมงานก่อน และเพื่อนร่วมงานแผนกต่างๆ เพราะวัฒนธรรมองค์กรแต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน อย่างเช่นการรักษาความปลอดภัย ความรับผิดชอบ ตำแหน่งต่างๆ และแผนกต่างๆ ที่เราจะทำงานร่วมกับเขา สิ่งที่เราต้องทำ คือปรับตัวเข้ากับองค์กรและวัฒนธรรมขององค์กร และบุคลากรต่างๆที่เขาอยู่มาก่อนเพื่อ ลดความขัดแย้ง ในการทำงาน และการประสานงานได้ไหลลื่นมากขึ้น ผมตอบแบบนี้ไป เมื่อเราเปลี่ยนที่ทำงานสิ่งที่สำคัญคือ บุคคลที่เราจะต้องไปทำงานด้วย และองค์กรที่เขามีวัฒนธรรม แบบของเขา ที่มีมาก่อนหน้านี้แล้ว ดีกว่าที่เราจะเข้าไปแล้วไปเปลี่ยนองค์กรเขาใหม่ อาจได้รับความขัดแย้งจากบุคลากรที่เขาอยู่มาตั้งแต่เดิมได้ และอาจจะสร้างความยากในการทำงานร่วมกันและอาจจะส่งผลต่อองค์กรได้ถ้าคุณต้องเจอคำถามนี้ ทำไมองค์กรและบริษัทนี้ถึงเลือกคุณเข้ามาทำงาน ? หลายคนอาจจะตอบว่า ผมเป็นคนที่รับผิดชอบตั้งใจทำงาน ตรงต่อเวลา และเป็นคนที่เรียนรู้ไว และทุกคนมักจะขุดข้อดีของแต่ละคนมาตอบ แต่สิ่งที่มันทำให้คนที่เราฟังคำตอบแล้ว ไม่ซื้อเพราะว่า มันไม่มีที่มาที่ไป แล้วใครใครก็ตอบแบบนี้ได้เหมือนกัน ลองตอบแบบนี้ดูนะครับ "ผมเชื่อว่า หลายคนก็จะต้องมีความถนัดและความสามารถที่แตกต่างกัน ออกไป ผมอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่ผมเชื่อในตัวเองว่าถ้าผมได้รับเข้าไปทำงาน ผมก็จะทำให้ดีที่สุด ผมก็จะเรียนรู้และเพิ่มประสบการณ์และขวานขวาย ปรึกษาเพิ่มเติมพัฒนาองค์ความรู้ให้ดีและให้มากยิ่งขึ้น และสามารถรับของเดิมที่มีและเพิ่มเติมของใหม่เข้าไปพัฒนาองค์กร" ผมอยากสื่อ ให้คนที่สัมภาษณ์เรา ได้เห็นความคิดของเราตัวตนของเราที่เรา และเป็นคนที่เปิดกว้าง มากกว่าได้ยินข้อดี ของเราที่ใครๆ ก็ตอบแบบนั้น คำตอบของเราอาจจะทำให้เอาชนะใจกรรมการคนสัมภาษณ์ ดีกว่าที่เราจะตอบข้อดีของเราออกไป เพียงแค่ให้ถูกเลือกเท่านั้น ซึ่งถ้าตอบถูกใจยังไงกรรมการก็เทคะแนนให้ และมันก็ยังจะสามารถเพิ่มโอกาสให้เราได้งานมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาสัมภาษณ์งานอย่าตอบให้ถูกต้องแต่ควรตอบให้ถูกใจด้วย เพราะมันจะสร้างความรู้สึกที่ดีจากที่เราต้องการที่จะสื่อสารที่เราจะตอบคำตอบคำตอบแข็งแข็งทั่วไป และเราอาจจะไม่ได้ประโยชน์จากคำถาม คำตอบและคำถามแต่ละคำถามที่เราถูกถามจากกรรมการที่เป็นคนสัมภาษณ์เรา จะต้องตอบให้ถูกจริตและถูกใจมันก็จะมีโอกาสมากขึ้น ที่เราจะถูกเลือกเข้าไปทำงานมากขึ้นถ้าคุณต้องเจอคำถามนี้ ถ้าคุณต้องทำงานล่วงเวลา สามารถทำได้ไหม ถ้างานขององค์กรเยอะ และเจ้านายอยากให้คุณทำงานล่วงเวลา สามารถทำได้ไหม และจะติดปัญหาอะไรไหม ส่วนใหญ่ทุกคนก็จะตอบว่าไม่มีปัญหาครับ ทำได้อยู่แล้ว ที่จริงการทำงานล่วงเวลานี้ มันก็จะมีโครงสร้างของบางองค์กร ถ้าทำงานร่วงเวลากี่ชั่วโมง จะได้รับค่าตอบแทนเท่าไหร่ ว่าในแต่ละเดือนเขากำหนด ความมากน้อยของการทำงานล่วงเวลา ไว้จำนวนกี่ชั่วโมง ไม่น้อยกว่ากี่ชั่วโมงไม่มากกว่ากี่ชั่วโมง ซึ่งบริษัทและองค์กรไหนที่มีลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว มันก็จะเป็นทำกับพนักงานอยู่แล้ว แต่ถ้าบริษัทไหนไม่มีแต่เราจำเป็นที่จะต้องทำงานในบริษัทนั้น และทำงานล่วงเวลาโดยไม่รับค่าตอบแทนเพิ่ม มันก็อาจจะติดปัญหาความอึดอัดเกิดความข้องใจ ต่อคนที่ปฏิบัติงาน ผมขอแนะนำว่าถ้าไปเจอคำถามในลักษณะนี้อย่าพึ่งไปตกใจ เขาอาจจะถามเพื่อหาทัศนคติของเรา บางอย่างก็ได้ การจัดการเวลาการจัดการงาน ไม่ได้มีจริงๆหรอกครับที่เขาจะบังคับให้เราทำงานล่วงเวลา ผมขอแนะนำให้ตอบว่า "การทำงานล่วงเวลาเราอาจจะต่อไปว่า เราอาจจะต้องกลับมามองในมุมมองของเรา การจัดการงานและเวลาของเราดีมากน้อยแค่ไหน อะไรสำคัญ อะไรด่วนและการจัดการเวลาเรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง ถ้าเราจัดการงานและเวลาของเราได้อย่างเต็มที่แล้ว มีการทำงานล่วงเวลาบ้าง ผมก็ไม่ติดนะครับ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ่อยบ่อยจนผิดปกติ ผมก็อาจจะใช้วิธีพูดคุยกับหัวหน้างาน เพื่อหาทางแก้ไขครับ ผมมองว่าปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ เรารู้ตัวก่อนและพูดคุยกันเพื่อหาทางแก้ไข ผมมองว่า Work Life balance มันจะช่วย ทั้งตัวพนักงานและองค์กร หาจุด ตรงกลางให้ได้" ไม่ต้องกลัวเลยที่เราจะต้องตอบคำถามแบบนี้ ถ้าองค์กรไหนเขาไม่โอเค กับสิ่งที่เรากำลังตอบ เราก็ไม่ควรเลือกไปทำงานกับองค์กรนี้ เพราะว่าเราก็คงอาจทำได้ไม่นานเพราะทำไปเราก็ต้องอึดอัดขับข้องใจ และการทำงานไม่มีความสุข เราก็ควรที่จะเลือกองค์กรและบริษัทที่สามารถเข้าใจในตัวพนักงานด้วย มันก็จะช่วยในการส่งเสริมการทำงาน และคุณภาพชีวิตของตัวพนักงาน ผู้สมัครก็ควรจะใช้เวลาที่สัมภาษณ์งาน รู้วัฒนธรรมขององค์กรเหล่านั้นไปด้วย เพื่อนเราเองจะได้นำมาตัดสินใจ เมื่อเราถูกเลือกเข้าไปทำงานเราจะยังพอใจในการทำงานที่นั่นอยู่หรือไม่ และเราจะรับมือกับสิ่งที่เราต้องเจอในองค์กรนั้นอย่างไร เครดิต ภาพหน้าปก เจ้าของภาพ Tumisu จากเว็ปไซต์ pixabay และรูป 1,2,3,4 ออกแบบโดย โปรแกรม Canva7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์