ร้อนนนน….นนน หากใครถามว่าประเทศไทยมีกี่ฤดูกันแน่ หลาย ๆ คนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ก็ 3 ฤดูไงล่ะ แต่คงไม่ใช่ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว เหมือนที่เราเคยเรียนรู้กันมาตั้งแต่ในวัยเด็ก เพราะปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าฤดูทั้ง 3 ฤดูในประเทศไทยนั้นคงจะเป็น ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนที่สุดแน่ๆ และคนที่คิดเช่นเดียวกันนี้ก็คงจะมีความคิดคล้ายๆ กันอีกอย่างหนึ่งว่า…. “หรือแท้จริงแล้วดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอาจไม่ใช่ดาวพุธ แต่คือดาวโลกนั่นเอง” …นั่นก็เป็นเรื่องของวงการวิทยาศาสตร์ที่มีหน้าที่ในการสำรวจและวิเคราะห์กันต่อไป แต่สิ่งที่เราเหล่ามนุษย์โลกแสนธรรมดานั้นต้องเผชิญอยู่ในทุก ๆ วันตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งก่อนพระอาทิตย์จะลับฟ้าในยามเย็นนั่นก็คือ “ภัยจากรังสี UV ของดวงอาทิตย์”อย่างที่เราทราบกันดีว่าดวงอาทิตย์มีการแผ่รังสีออกมามากมายหลายชนิด ทั้งรังสีที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่น แสงสว่าง และรังสีที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ “รังสี Ultraviolet (UV)” ซึ่งสามารถจำแนกตามช่วงความยาวคลื่นรังสีได้เป็น UVA UVB และ UVC โดยประเภทของรังสีที่มีความอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ได้แก่ รังสี UVA และ UVB ซึ่งสามารถสร้างอันตรายให้แก่ผิวหนังของมนุษย์ตั้งแต่อาการแสบร้อนตามผิวหนัง ผิวไหม้เกรียม ฝ้า กระ ผิวหนังอักเสบ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ดังนั้นเราจึงควรที่จะต้องเรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยที่เกิดจากรังสี UV ของดวงอาทิตย์ โดยเริ่มจากวิธีการง่ายๆ เช่น การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ( Sun Protection Factor ) และค่า PA ( Protection Grade Of UVA ) ที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ด้วยการดูดซับรังสี UV และสะท้อนรังสี UV นั้นออกไปค่า SPFSPF มีค่าการป้องกันเริ่มตั้งแต่น้อยไปจนถึงมากที่สุดอยู่ที่ SPF 50 ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความไวต่อแดดของผิวหนังของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น หากอยู่กลางแดดได้ประมาณ 15 นาที แล้วผิวเริ่มมีอาการแสบร้อนหรือไหม้เกรียม แล้วทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 จะเท่ากับ 15x30 = 450 นาที หมายความว่าครีมกันแดดนั้นจะมีความสามารถในการป้องกันแดดประมาณ 7 ชั่วโมง แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น เหงื่อ ที่สามารถทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV ลดลงได้รวดเร็วมากขึ้นค่า PAในปี 2006 สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่นได้ริเริ่มการใช้ค่า PA ในการวัดระดับประสิทธิภาพของการดูดซับและสะท้อนรังสี UVA ในเครื่องสำอางที่มีการผสมสารกันแดด โดยมีเครื่องหมาย + แทนการแสดงค่าการวัดระดับประสิทธิภาพของครีมกันแดด ดังนี้PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ระดับเริ่มต้นPA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ระดับกลางPA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ระดับสูงPA++++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ระดับสูงสุดดังนั้นเราจึงควรเลือกครีมกันแดดที่มีทั้งค่า SPF และ ค่า PA ตามความเหมาะสมและโอกาสต่างๆ เช่น เมื่อต้องไปทะเลอาจต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA++++ เพื่อให้ผิวหนังของเราได้รับการปกป้องสูงที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราอาจต้องทาครีมกันแดดซ้ำวันละหลาย ๆ รอบ เนื่องจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะน้ำหรือเหงื่อที่สามารถทำให้ครีมกันแดดละลายได้เร็วขึ้น ดังนั้นจึงควรเลือกครีมกันแดดแบบ “waterproof” ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำและเหงื่อ ทำให้ครีมกันแดดคงประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างยาวนานมากยิ่งขึ้นอ้างอิง : What Does the PA+ Sunscreen Symbol Mean?, The Difference Between UVA and UVB Raysภาพปก โดย freepik จาก freepikภาพที่ 1 โดย rawpixel-com จาก freepikภาพที่ 2 โดย freepik จาก freepikภาพที่ 3 โดย freepik-diller จาก freepikอ่านรีวิวไอเทมเด็ด ๆ เกี่ยวกับความสวย ได้ที่นี่ App TRUEID โหลดฟรี !