พอใกล้ปลายปี อากาศเริ่มเย็นลง มันก็ทำให้นึกถึงการเดินทางไปเพื่อพบเจอกับ "หมอก" ทุกที เรื่อยไป เราตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งมาก ๆ เพราะนี่เป็นการเดินทางแบ็คแพ็กที่จัดว่านานที่สุดของเรา เราเริ่มวางแผนการเดินทางคร่าว ๆ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนนี่เอง (ปล.เดินทางวันที่ 17-24 ธันวาคม) แผนเดินทางคร่าว ๆ ที่ว่านี่คือ เพียงแค่ดูว่าแต่ละวันจะนอนไหน มีการเดินทางไปแต่ละที่ยังไงบ้าง ที่เหลือไปหน้างานจ้า ที่สำคัญของการเดินทางครั้งนี้คือเราชอบและสนุกกับแผนการเดินทางของเราแบบนี้มาก ๆ ด้วยความเรียลอ่ะเนอะ และทริปนี้ก็ทำให้เราได้เห็นน้ำใจ ความใจดี และยินดีช่วยเหลือของคนที่ผ่านเข้ามาระหว่างทาง มันให้พลังบวกกับเรามาก ๆ ถ้าไม่เชื่อ ลองออกไปเดินทางแบบนี้ดูสิ เรามาเริ่มเดินทางกันดีกว่า เราตั้งต้นกันที่สถานีรถไฟหัวลำโพง เดินทางด้วยรถไฟขบวน ด่วนพิเศษ CNR กรุงเทพ-ลำปาง ออกจากกรุงเทพ 18.10 รถไฟที่เราเลือกนี้จะเป็นตู้นอน มีความปลอดภัย ไม่ได้น่ากลัว เขาจะมีเจ้าหน้าที่ประจำตู้โดยสารที่จะคอยดูแลผู้โดยสารตลอดการเดินทาง แล้วก็ถ้าหิวละก็ สั่งได้เลย เขาจะมีพนักงานเดินมาถามว่า จะสั่งอาหารอะไรไหม เราก็สั่งกับเขาได้เลย เดี๋ยวเขาจะเดินมาเสิร์ฟถึงที่ ไม่ต้องเดินไปที่ตู้เสบียงเอง อ้อ ห้องน้ำถือว่าปรับปรุงมาค่อนข้างดี สะอาด ขบวนนึงมีประมาณ 2-3 ห้อง ก็ถือว่าโอเคเลย ส่วนใครที่พร้อมนอนแล้วก็สามารถเรียกพนักงานให้มาปูเตียงได้เลย เรามาถึงสถานีนครลำปางตอนตี 5 ตรง ตามตารางต้องถึง 04.57 เลทมา 3 นาทีก็ถือว่าโอเค ซึ่งบริเวณหน้าสถานีรถไฟนครลำปางก็จะมีรถสองแถวคอยให้บริการอยู่ตลอดเวลา ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าการท่องเที่ยวในลำปางนี้ถูกสนับสนุนโดยแม่ของเพื่อนเรา สำหรับคนที่ขับรถไม่เป็น เส้นทางที่เราจะเล่านี้อาจจะค่อนข้างไม่สะดวก เพราะบางที่ไปค่อนข้างยาก และไกลจากตัวเมืองมากก แต่เราอยากเล่าการเที่ยวในลำปางนี้ไว้นะ เผื่อข้อมูลนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คน มาเริ่ม DAY1 กันเลย!! (ขอไม่นับเมื่อวานนะ เดี๋ยวจะโกงเกินไป) วันนี้เราไปกันที่เหมืองแม่เมาะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีถ่านหินมากที่สุดในประเทศไทย เหมืองนี้อยู่ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ก็ขอจะเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับกับที่นี่หน่อยแล้วกันนะ คือประเทศไทยพบถ่านหินลิกไนต์และซับบิทูมินัสเป็นจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับถ่านหินชนิดอื่น ๆ โดยพบแหล่งถ่านหินนี้กระจายตัวทั่วประเทศไทยประมาณ 10 ที่ และที่แม่เมาะ จังหวัดลำปาง นี้เองที่เป็นแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีเยอะกว่าที่อื่นหลายเท่าตัว โดยการบวนการแบ่งออกเป็น 2 ขั้นหลัก ๆ คือ 1. การได้มาซึ่งถ่านหิน 2. การผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหิน เมื่อได้ถ่านหินมาแล้วจะเอาเป็นเชื้อเพลิง เมื่อเผาไหม้เชื้อเพลิงนี้เพื่อต้มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำแรงดันสูงแล้วไปฉุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้หมุนแล้วทำให้เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าที่เราใช้กัน โดยทางกฟผ. เขาเคลมว่าเขาดูแลกระบวนการเหล่านี้อย่างดี เพื่อให้ส่งผลกระทบชุมชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตามนะคะทุกคน ข่าวร้ายคือ ถ่านหินที่ลำปางนี้จะหมดไปภายใน 25 ปี หลังจากนั้นเขาก็อาจจะต้องย้ายการผลิตกระแสไฟฟ้าไปในแหล่งอื่น ๆ และถ้าหมดทุกแหล่งในประเทศไทยแล้วก็จำเป็นต้องซื้อกระแสไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ค่าไฟฟ้าก็จะแพงไปกว่านี้มาก ดังนั้นการที่เรายืดเวลาออกไปให้ได้นานที่สุด สิ่งที่เราทำได้ทุกคนคือการช่วยกันประหยัดไฟนะจ้ะ ที่เล่าไปเนี่ยก็ไม่ได้ไป search มาจากไหนหรอก ที่นั่นเขามีพิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่านลิกไนต์ศึกษา อยู่บริเวณสวนพฤกษชาติ เปิดให้ความรู้กับคนภายนอก เปิดทำการวันอังคาร – วันอาทิตย์ 09:00-16:00 น. หยุดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ นอกจากนี้ที่นั่นก็ยังมีอื่น ๆ ให้ทำอีก เช่น เล่นสไลเดอร์ เที่ยวชมทุ่งดอกบัวตอง หลังจากนั้น เราก็ไปต่อกันที่หล่มภูเขียว ซึ่งถือว่า ณ ตอนนี้ยังเป็น Unseen ของลำปางอยู่ ด้วยนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้รู้จักกันมากนัก ที่จะเป็นเหมือนบ่อทะเลสาบน้ำสีฟ้ามากและสวยมาก เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่าควรมาตอนเช้า ๆ จะถ่ายรูปสวย แต่ตอนนั้นเราไปมันก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ถึงแม้จะสวยก็นะ แต่การเดินทางไปที่นั่นก็ค่อนข้างยาก แล้วก็ไม่มีกิจกรรมอื่นทำนอกจากไปดูและถ่ายรูปเท่านั้น วันต่อมา DAY2 วันนี้ขอเริ่มกันที่ของกินก่อนเลย ร้านนี้เป็นร้านที่เพื่อนเราคุยนักคุยหนาว่าอร่อยมาก ก็เลยไปลองกันซักหน่อย ร้านนี้ชื่อว่า ก๋วยเตี๋ยวลูกทุ่งรุ่งเรือง ลำปาง จะเป็นก๋วยเตี๋ยวหมู ให้ค่อนข้างเยอะ ราคาประมาณ 40-50 บาท แต่ต้องขออภัยด้วยที่ไม่มีรูปเลย เอาเป็นว่าไป search ชื่อร้านแล้วไปตามกันได้เลย ลองแล้ว อร่อยจริง! ไปต่อกันที่ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ที่แห่งนี้เป็นน้ำพุร้อน มีอุณหภูมิประมาณ 39-82 องศาเซลเซียส โดยน้ำพุร้อนที่นี่เกิดจากการที่น้ำตามธรรมชาติไหลผ่านรอยเลื่อนแม่ทา ซึ่งมีความร้อนจากใต้พื้นดิน และเหตุการณ์แบบนี้ในภาคเหนือส่วนใหญ่ก็เป็นเหตุมาจากรอยเลื่อนต่าง ๆ นี่แหละ มีกำมะถันค่อนข้างต่ำ เมื่อมาที่นี่ สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือ เอาไข่มาต้มในบ่อน้ำพุร้อน โดยมีทริคว่าต้มไข่ไก่ 17 นาที ไข่แดงจะออกมาแข็งและรสชาติมัน ส่วนไข่ขาวจะออกมาเหลวเหมือนไข่เต่า โดยทางอุทยานจะมีไข่ขาย มีทั้งไข่นกกระทา และไข่ไก่ ราคาไม่แพง ต้องบอกเลยว่าที่แห่งนี้มหัศจรรย์มาก นอกจากนี้ก็ยังมีห้องให้อาบแช่น้ำแร่ เป็นเหมือนการแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่น น้ำมีอุณหภูมิประมาณ 39-42 องศา ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ มีห้องให้เลือกทั้งห้องส่วนตัว และห้องรวม ห้องรวมก็จะค่อยข้างใหญ่ การแช่นำ้เช่นนี้จะช่วยให้ระบบไหลเวียนดีขึ้นด้วยนะ หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่มิวเซียมลำปาง ภายในจะมีการจัดแสดงที่เล่าถึงความเป็นมาของลำปาง ตำนาน และจุดสำคัญต่าง ๆ เราไปถึงที่นั่นประมาณ 4 โมงนิด ๆ เห็นป้ายว่าเปิด 9.00 - 17.00 น. ก็คิดว่าเดินชิล ๆ แต่ขอเตือนไว้เลยนะว่าไม่ได้ปิด 17.00 อย่างที่ป้ายบอกไว้ เจ้าหน้าที่จะปิดที่นั่น 16.30 เพราะเวลาที่เหลือจะเอาไว้รีเซ็ทระบบต่าง ๆ ถ้าใครจะไปก็จัดเวลากันดี ๆ นะ และสุดท้ายของวันนี้คือ การนั่งรถม้าชมรอบเมือง ซึ่งรถม้านี้ก็จะจอดอยู่บริเวณเยื้อง ๆ หน้ามิวเซียมลำปางนั่นแหละ หาไม่ยาก เพราะเขาอยู่กันเป็นกลุ่ม โดยจะมีอยู่ 2 ราคา คือ แบบรอบเล็ก 200 บาท และแบบรอบใหญ่ 300 บาทต่อเที่ยว นั่งได้ประมาณ 4 คน (อย่านั่งเยอะกว่านี้เลย สงสารน้อง) น้องม้าที่เรานั่งตัวนี้ชื่อว่า "น่ารัก" ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ แต่ก็แอบสงสารน้องม้า แต่นะ เรามาเพื่อเรียนรู้ จงเรียนรู้และทำความรู้จักกับคนและสถานที่ต่าง ๆ ด้วยความเคารพเขา สรุปทริปนี้ คือ ถ่านหินเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และตอนนี้มันก็กำลังร่อยหรอลงเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเรามาช่วยกันประหยัดไฟกันเถอะ เพื่อที่เราจะได้มีทรัพยากรใช้ได้ไปอีกยาวนาน นอกจากนี้ ลำปางก็ยังมีสถานที่ที่น่าไปเที่ยวอีกเยอะ และก็มี unseen ที่สวยมาก ๆ อีกด้วยที่รอให้ทุกคนไปเยือนกันนะ อย่ารอช้า ออกไปเที่ยวซะ