ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่แบบไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้ามากนัก เป้าหมายคือ อยากสัมผัสอากาศหนาว แฟนชอบภูเขา ส่วนตัวเราชอบทุ่งดอกไม้ ใฝ่ฝันอยากมีภาพสวย ๆ ท่ามกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยีย และนี่เลย "ขุนแปะ" น่าจะตอบโจทย์การเดินทางในครั้งนี้ของเรา ระหว่างเดินทางก็ติดต่อหาที่พัก "กระท่อมตะวันไรวินท์" คือที่หมายที่เราเลือกและก็ว่างด้วย ช่วงเช้าออกเดินทางโดยใช้ GPS ในการนำทางเพื่อไปยังที่พัก โดยเดินทางไปเส้นจอมทอง-ฮอด เริ่มขึ้นเขาก็ประมาณสี่โมงกว่าแล้ว ขับไปเรื่อย ๆ ชมวิวทิวทัศน์ระหว่างทางสบาย ๆ แต่ด้วยเป็นช่วงฤดูหนาวพอพระอาทิตย์หมดแสงก็มืดเร็วมาก แต่เรายังไม่ถึงที่พัก ขับไปจนถนนเริ่มเป็นลูกรัง และมีร่องลึก GPS บอกว่าคุณได้ถึงที่หมายแล้ว แต่เราไม่เห็นที่พักเลย มองเห็นแต่ความมืด และหุบเขา จึงโทรไปหาที่พัก เค้าให้ขับต่อไป แล้วก็มารับเรา แต่ต้องจอดรถไว้เนื่องจากทางเข้าที่พักต้องใช้รถโฟวิลเท่านั้น ในที่สุดเราก็มาถึงที่พัก ค่อยอุ่นใจหน่อย เจ้าของที่พักบอกว่าคืนนี้เราได้นอนห้องน้องญาญ่าเลยนะ น่าทึ่งมากว่าญาญ่าก็มานอนที่นี่เหรอนี่ มันแบบ Advanture มาก ๆ เลย มาถ่ายละคร เรื่อง "คือเธอ" คู่กับมาริโอ้ เป็นละครของแอนทองประสม ที่นี้ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เวลาอาบน้ำเย็นจับใจเลยละคะ แต่ถ้าใครอยากอาบน้ำอุ่น ที่นี้ก็มีบริการต้มน้ำให้ค่ะ อาหารเย็นวันนี้มาเป็นโตกเมนูง่าย ๆ แต่อร่อยถูกปากเลยค่ะ ค่าบริการที่พักพร้อมอาหารเย็นและอาหารเช้า คนละ 500 บาท หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางก็พักผ่อน หลับสบายมาก ตื่นเช้ามาเปิดไปดูวิวข้างนอก ว้าวมากเลยค่ะ เรานอนกระท่อมน้อยกลางหุบเขา ท่ามกลางนาข้าว ถ้าได้มาช่วงที่นาข้าวยังไม่เกี่ยวคงสวยมาก และนี่คือ วิวที่นี้ พอทานข้าวเช้าเรียบร้อย ก็มีรถมารับไปเที่ยวในหมู่บ้าน ที่แรกคือ ทุ่งดอกไฮเดรนเยีย ระหว่างทางถนนค่อนข้างลำบาก เพราะเป็นถนนเป็นลูกรัง และมีร่องลึกจากน้ำกัดเซาะในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา ที่นี้จึงต้องใช้รถโฟวิล และต้องมีความชำนาญในการขับ พี่คนขับรถบอกว่ารถของคนในหมู่บ้านต้องซ่อมช่วงล่างอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ให้นักท่องเที่ยวนำรถขึ้นมาในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้จากการขับรถนำเที่ยว และเป็นการรักษาธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าปาปากะยอ ในที่สุดเราก็มาถึง ทุ่งดอกไฮเดรนเยียที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ไร่ไฮเดรนเยียเบิกบานใจ ที่นี้เป็นสวนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาชม คิดค่าเข้าชมคนละ 30 บาท ซึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้มีปลูกกันหลายสวน แต่ส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อตัดดอกขาย เมื่อถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว ก็ไปแวะสวนดอกมากาเร็ต ไร่ภูเลวา คิดค่าเข้าชมคนละ 30 บาท เช่นกัน ต่อจากนั้นก็พาไปชมนาขั้นบันไดเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยมากเลยทีเดียว เสียดายเรามาช้าไปนิด ถ้ามาช่วงยังไม่เกี่ยวข้าวจะสวยงามกว่านี้เป็นแน่ หากใครอยากได้วิวนาข้าวสวย ๆ คงต้องมาช่วงเดือนตุลาคม และจุดชมวิวของหมู่บ้าน จบทริปเที่ยว ในราคา 500 บาท หากใครอยากไปเที่ยวทุ่ง 360 องศา ราคาค่ารถนำเที่ยวราคา 1500 บาท ซึ่งต้องเดินทางไปอีก และทางค่อนข้างลำบาก ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ส่วนใหญ่คนนิยมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นช่วงเช้าหรือพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น กลับถึงที่พักทานอาหารเช้า ตัดสินใจอยู่ต่อที่ขุนแปะอีกคืน แต่ที่กระท่อมตะวันไรวินท์เต็มแล้ว จึงตัดสินใจไปพักที่ "ขุนแปะกระท่อมอุ้มรัก" เพ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน ที่นี่สามารถขับรถมาถึงที่พักได้เลย อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุด จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นของหมู่บ้าน วิวสวยมากมีแค่ 3 หลังเท่านั้น ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่กองถ่ายละครมาพัก แอนทองประสมก็เคยมาพักที่นี้ ตรงจุดนี้มองลงไปสามารถมองเห็นที่พักเมื่อคืนได้ คืนนี้นอนยอดเขา ส่วนเมื่อคืนนอนกลางหุบเขา พี่เจ้าของที่พักน่ารักมาก ทำอาหารกลางวันให้เราทาน แถมไม่คิดเงินอีกด้วย ที่นี่มองเห็นทางช้างเผือกได้ชัดมาก บางคนเตรียมกล้องสำหรับมาถ่ายทางช้างเผือกโดยเฉพาะเลย แต่ว่าเราไม่มีกล้องที่ถ่ายได้น่าเสียดายจัง ตอนกลางคืนอากาศเย็นมาก ปกติไม่เคยนอนแต่หัวค่ำมาก่อน แต่เพราะว่าที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถืออีกด้วย เราจึงต้องนอน เป็นอีกที่ที่นอนหลับสบายมาก "ขุนแปะ" แห่งนี้ จึงเป็น สวรรค์แห่งการพักผ่อน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายได้ดีมาก หากใครจะมาเที่ยวที่นี่ขอแนะนำเลยค่ะ แต่อย่าไปถึงเย็นมากนะคะ และติดต่อสอบถามที่พักให้ดี เพราะบางที GPS อาจพาเราหลงได้เหมือนกัน รวมทั้งควรชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม พร้อมพกแบตสำรองไปด้วยจะดีค่ะ ค่าใช้จ่ายขุนแปะ 2 คืน 2 วัน ค่าที่พักกระท่อมตะวันไรวินท์ 2 คน ๆ ละ 500 บาท เป็นเงิน 1000 บาท ค่ารถนำเที่ยว 500 บาท ค่าเข้าชมสวนดอกไม้คนละ 30 บาท 2 ที่ เป็นเงิน 120 บาท ค่าที่พักกระท่อมอุ้มรัก 2 คน ๆ ละ 500 บาท เป็นเงิน 1000 บาท ภาพปกและภาพประกอบบทความจาก : ผู้เขียน