ช่วงนี้อากาศเย็นสบาย เหมาะกับการออกไปท่องเที่ยว เพื่อเรียนรู้หาประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างยิ่ง หากใครไม่มีวันหยุดยาว แต่อยากหาสถานที่เที่ยวในกรุงเทพฯ เราขอแนะนำเพื่อน ๆ ไปเดินเที่ยวชมวัดวาอารามที่เกาะรัตนโกสินทร์กัน วันนี้จะขอพาเพื่อน ๆ ไปเริ่มกันที่เสาชิงช้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของย่านนี้กันเลยทีเดียว เมื่อมาถึงย่านเสาชิงช้า ให้เพื่อน ๆ เดินข้ามถนนบำรุงเมือง แล้วจะได้พบกับวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า วัดสุทัศน์ ซึ่งถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 และยังเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย เมื่อผ่านเข้ามายังประตูทางเข้า จะพบกับพระวิหารหลวง ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระศรีศากยมุนี พระประธานประจำพระวิหารหลวงแห่งนี้ อีกทั้งด้านในนี้ยังมีภาพสลักหินสมัยทวารดีให้ได้ชมกันด้วย เมื่อกราบขอพรองค์พระประธานเรียบร้อยแล้ว อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ เดินมากราบสักการะพระบรมราชานุเสารีย์ รัชกาลที่ 8 ซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านซ้ายของพระวิหาร นอกจากนี้ เพื่อน ๆ ยังสามารถเดินชมสถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามภายในบริเวณนั้น ก่อนจะเดินต่อไปยังพระอุโบสถด้านใน ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 5 นาที พระอุโบสถของวัดสุทัศน์นี้ถือเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ท่ามกลางแท่นพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ อีกทั้งยังจะได้กราบขอพรองค์พระกริ่งใหญ่ และองค์ท้าวเวสสุวรรณที่พระอุโบสภแห่งนี้กันอีกด้วย หากใครกลัวหลงทาง สามารถสแกน QR CODE ด้านล่าง เพื่อรับแผนที่และข้อมูลการเข้าชมวัดได้เลย เมื่อเดินชมวัดจนครบถ้วนแล้ว เราอยากแนะนำให้เพื่อน ๆ ข้ามถนนบำรุงเมือง แล้วเดินลัดเลาะไปยังซอยหลังโบสถ์พราหมณ์ ภายในซอยเล็ก ๆ แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของร้าน “บ้านขนมปังขิง” ร้านกาแฟกึ่งพิพิธภัณฑ์ เป็นบ้านไม้ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 106 ปี แบบบ้านสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Gingerbread House ซึ่งได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก ตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 สาเหตุที่ถูกขนานนามว่าสไตล์ Gingerbread นั้น เป็นเพราะภายในตัวบ้านจะถูกออกแบบให้มีลักษณะของการตกแต่งลวดลายฉลุ ให้มีความละม้ายคล้ายกับขนมปังขิง ที่ชาวยุโรปมักจะอบขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลวันคริสมาสต์นั่นเอง หากเพื่อน ๆ เดินไปถึงที่ร้านแล้ว อยากแนะนำให้สังเกตดูที่ตัวบ้าน หากดูดี ๆจะเห็นรายละเอียดตามบานประตูหน้าต่าง บานพับ ผนัง และช่องลม ซึ่งยังคงลวดลายฉลุของเดิมตั้งแต่สมัยอดีตทั้งหมด ไม่มีการเคลือบหรือขัดสีใด ๆ ลงบนพื้นไม้ เพื่อน ๆ จะพบเห็นผิวสัมผัสของเนื้อไม้ ทั้งด้านในและด้านนอกตัวอาคาร ที่รักษาให้อยู่ในสภาพเดิม ณ ปัจจุบัน บ้านขนมปังขิงได้ถูกสืบทอดมายังทายาทรุ่นที่ 4 ซึ่งมีความตั้งใจจะอนุรักษ์บ้านขนมปังขิงไว้ และเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอก ได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศในอดีต และได้ร่วมชื่นชมความงามที่ถูกเก็บรักษาไว้กว่าร้อยปี หากเพื่อน ๆ เดินชมตัวอาคารทั้งสองชั้นแล้ว อย่าลืมหาทำเลดี ๆ ภายในร้าน เพื่อนั่งลงดื่มด่ำไปกับเมนูขนมหวาน ที่ทางร้านมีพร้อมให้ได้เลือกทานกัน เมนูของที่นี่มีทั้งขนมไทย ขนมเค้ก กาแฟ และเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่น ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 95-599 บาท รับรองว่าเมื่อสั่งขนมมาและได้ลองชิม พร้อมไปกับการชื่นชมความน่ารักของตัวบ้าน จะทำให้เพื่อน ๆ ได้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัยก่อนกันเลยทีเดียว เมื่อเสร็จจากการแวะพักที่บ้านขนมปังขิงแล้ว ให้เพื่อน ๆ เดินลัดเลาะต่อไปยังถนนตะนาว เพื่อไปไหว้ขอพรเทพเจ้ากันต่อที่ ศาลเจ้าพ่อเสือ เชื่อกันว่าเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โดยชาวจีนนิยมเรียกศาลเจ้าแห่งนี้ในชื่อ ศาลเจ้า “ตั่วเหล่าเอี้ย” ภายในเป็นที่ตั้งของรูปเคารพองค์เทพมากมาย อาทิเช่น เทพเจ้าเอี่ยนเถี้ยนส่งเต้ รูปเจ้าพ่อเสือ รูปเจ้าพ่อกวนอู และรูปเจ้าแม่ทับทิม ศาลเจ้าแห่งนี้เหมาะกับการขอพร ให้มีความน่าเกรงขามยำเกรงดุจดั่งเสือ อีกทั้งยังขอพรเรื่องโชคลาภเงินทองได้อีกด้วยนะ หากเพื่อน ๆ ไปถึงแล้วก็สามารถเลือกซื้อของเซ่นไหว้ได้ที่หน้าศาลเจ้าเลย เน้นย้ำอีกนิดว่าภายในศาลเจ้าไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปนะ เมื่อเสร็จจากไหว้เจ้าพ่อเสือแล้ว อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลองเดินเล่นบนถนนมหรรณพ บนถนนเส้นนี้ยังมีร้านค้าต่าง ๆ มากมายให้ได้แวะพักกัน แต่ที่พลาดไม่ได้เลย คือ ร้านข้าวหน้าไก่ แซ่พุ้น สูตรโบราณที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นกันมายาวนานกว่า 80 ปี การันตีความอร่อยด้วยรางวัลบิบ กรูมองด์ จากมิชลิน ไกด์ สองปีซ้อน นอกจากเมนูเด็ด คือ ข้าวหน้าไก่แล้ว ทางร้านยังมีเมนูอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิเช่น บะหมี่กรอบหน้าไก่ ข้าวเหนียวหมูแดง บะหมี่ซี่โครงหมูตุ๋น ส่วนเมนูกินเล่นที่อยากแนะนำ เช่น เกี๊ยวทอด เกี๊ยวนึ่ง และซุปรากบัว ที่เห็นเมนูหลากหลาย และได้รับรางวัลจากมิชลินแบบนี้ ขอบอกเพื่อน ๆ เลยว่า ราคาอาหารไม่แพงอย่างที่คิด ราคาแต่ละเมนูเพียง 50-120 บาทเท่านั้น หวังว่าวันนี้ เพื่อน ๆ จะเต็มอิ่มไปกับการท่องเที่ยววิถีไทยในย่านเสาชิงช้า ใครมีเวลาว่างอย่าลืมไปสัมผัสบรรยากาศแบบย้อนยุคกันได้เลย ภาพทั้งหมดโดย : PloypilinV