เมื่อพูดถึงประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุและเทคโนโลยีล้ำยุคล้ำสมัยพร้อมกันนั้นก็ยังมีความสวยงามทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละท้องถิ่นแน่นอนว่าหลายท่านคงจะคิดถึงประเทศญี่ปุ่นหรือที่เรารู้จักกันในนามดินแดนอาทิตย์อุทัยนั่นเอง วันนี้ผมจะมาบอกเล่าประสบการณ์ที่ได้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศแรกที่ผมได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวต่างประเทศและที่สำคัญ เป็นการท่องเที่ยวที่ผมนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิต และผมหวังว่าประสบการณ์ของผมอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนที่อยากจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยงบประมาณที่จำกัดและประสบการณ์เป็นศูนย์ได้ลองก้าวออกจาก Comfort Zone ของตนเองแล้วไปตามฝันกันครับ การที่เราจะไปท่องเที่ยวต่างประเทศนั้นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เงินในกระเป๋านั่นก็คือภาษาและการสื่อสาร ต้องบอกก่อนเลยนะครับว่าภาษาอังกฤษของผมพอได้เป็นคำๆ สื่อสารได้บ้างนิดหน่อยคือไปแล้วไม่ตายว่างั้นเถอะแต่ก็ยังมีความโชคดีที่ผมเคยได้ร่ำเรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้างจึงใช้เป็นภาษาหลักในการท่องเที่ยวทริปนี้จะบอกว่าเป็นภาษาหลักก็ไม่เชิงเพราะว่าหลักจริงๆคือใช้ภาษากายซะมากกว่าดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลเลยครับถ้าผมไปได้ท่านก็สามารถไปได้เช่นกัน ผมตัดสินใจเดินทางโดยไม่ผ่าน Agency ท่องเที่ยวหรือกรุ๊ปทัวร์ เพราะผมเป็นคนที่ชอบผจญภัย ไหนๆก็เป็นครั้งแรกในชีวิตแล้วขอเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้ายด้วยตนเองก็แล้วกัน ว่าแล้วก็จองตั๋วโปรโมชั่นที่ถูกที่สุดทั้งขาไปและกลับแล้วก็ซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นเช่นเสื้อโค้ท ถุงมือ รองเท้า และเก็บสัมภาระต่างๆ โดยคำนึงถึงน้ำหนักกระเป๋าที่เขาระบุไว้ อย่าให้หนักเกินเด็ดขาด จากนั้นก็ไปทำหนังสือเดินทางซึ่งรอส่งมาทางไปรษณีย์ประมาณ 3 วัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วถึงกำหนดการบินก็แลกเงินเยนแล้วออกเดินทางผมเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปถึงสนามบิน hiroshima Airport ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินทางซึ่งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะท่องเที่ยวและหาที่พักในเมืองฮิโรชิม่าเป็นจุดหมายของเราสนามบินฮิโรชิม่านั้นอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวพอสมควร สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากลงเครื่องคือต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศแล้วเดินทางต่อด้วยรถบัสจากสนามบินไปจนถึงสถานีรถไฟฮิโรชิม่าซึ่งอยู่ในเมือง ขอแนะนำว่าท่านต้องไปที่ หน่วยบริการนักท่องเที่ยวหรือ information ของสถานีรถไฟซึ่งเขาจะสามารถแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักตลอดจนเรายังสามารถขอเอกสารและแผนที่แนะนำการท่องเที่ยวซึ่งมีภาษาไทยไว้บริการด้วยครับ แต่ถ้าเปิดอ่านแล้วก็จะพบว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวที่เขาแนะนำทั้งหมด 47 แห่งในเมือง แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางผมจึงหาที่พักและเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วพักให้หายเหนื่อยสักครู่ แล้วค่อยเดินเที่ยวต่อที่ใช้คำว่าเดินเที่ยวเพราะว่าเมืองฮิโรชิม่า เป็นเมืองเล็กๆสามารถเดินแล้วก็เที่ยวจนทั่วเมืองได้เลย แต่ก็ไม่เพียงแค่เมืองนี้เพราะคนญี่ปุ่นเขาชอบเดินแนะนำให้ท่านฟิตร่างกายก่อนจะไป ไม่ว่าจะเป็นการเดินหรือการวิ่งจะได้ไม่ปวดขาเหมือนผมโรงแรมที่เราพักก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกพอสมควรซึ่งสะดวกแต่อาจจะยากต่อการเข้าใจเนื่องจากระบบปรับอากาศเราคุ้นเคยเฉพาะทำอย่างไรให้เย็นสบายแต่ที่นู่นมี 2 ระบบคือทำให้อุ่นกับทำให้เย็นแล้วก็มีอ่างอาบน้ำที่มีทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็นเพื่อให้เราผสมตามอุณหภูมิที่เราชอบ ตลอดจนชักโครกก็เป็นระบบอัตโนมัติไม่ว่าจะเป่าจะฉีดจะล้างทุกอย่างใช้ระบบกดปุ่ม มันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนบ้านนอกอย่างผมเป็นอย่างมาก มองออกไปด้านนอกก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่องที่สะอาดผิดหูผิดตาซึ่งเราอาจจะไม่คุ้นเคยก็เป็นบรรยากาศที่ ออกไปแล้วสบายใจมีความสุขและน่าอยู่ จากนั้นผมก็ออกจากโรงแรมไปเพื่อที่จะไปเดินท่องเที่ยวตามจุดต่างๆที่น่าสนใจถึงแม้ผมจะไปได้ไม่ทั้งหมดแต่ก็คิดว่าคุ้มแล้วที่แรกที่ไปคือสวนสาธารณะประจำเมืองซึ่งเป็นสวนสาธารณะเชิงพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดสวนโดยรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และพืชพันธุ์ต่างๆเป็นลักษณะที่ผิดหูผิดตาจากพืชพรรณในประเทศไทยทำให้ดูเด่นเป็นสง่าอยู่ตามรายทาง และยังมีบ้านรูปทรงโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีให้ได้ดูได้ชมกันด้วยครับจากนั้นก็เดินต่อไปยังปราสาทฮิโรชิม่าซึ่งเป็นสถานที่ดั้งเดิมของกองบัญชาการทหารจักรพรรดิสร้างด้วยศิลปะประจำชาติของญี่ปุ่นเป็นปราสาทซ้อนกันหลายชั้นภายในกลุ่มดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงวัฒนธรรมของนักรบญี่ปุ่นซึ่งบางส่วนก็ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพแต่มาถ่ายข้างนอกก็สวยดีขึ้นไปบริเวณยอดของปราสาทก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ในมุมสูงของเมืองฮิโรชิม่าซึ่งเป็นเมืองที่ถูกรายล้อมด้วยภูเขาที่เขียวชะอุ่มงดงามตา เหมาะสำหรับทำอะไรสักอย่างที่มันโรแมนติกมากๆหลังจากกลับจากปราสาทเราก็ไปหาของกินตามแบบฉบับคนงบน้อย อาหารที่อร่อยและราคาถูกก็คืออุด้งและราเมง บางร้านก็จะมีตู้กดตั๋วให้เราเลือกอาหาร หยอดเงินแล้วก็นำตัวนั้นไปส่งที่เคาน์เตอร์รับออเดอร์แล้วรอรับอาหาร ช้อน แก้วน้ำ หาเอง นี่ถ้าไม่รวมการทำอาหารก็ถือว่าทุกอย่างบริการตัวเองแบบครบวงจรซึ่งเป็นความคิดที่ดีในการบริหารร้านให้สะดวกต่อการทำงานแต่สำหรับท่านที่เคยถูกบริการมาตลอดก็อาจจะไม่ชินกับวัฒนธรรมแบบนี้ สุดท้ายนี้ สิ่งที่จะทำให้การท่องเที่ยวสนุกและมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกอย่างเดียวนะครับ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในด้วยคือใจของเรา ความพร้อมของเรา ความกล้าของเรา ไม่ว่าสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เรากิน มันจะเป็นสิ่งธรรมดามากแค่ไหน แต่มันคือสิ่งที่เราทำด้วยความสุขที่สุด เพราะมันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆของเราในต่างแดนครับ Credit: รูปภาพทั้งหมด พีระพัฒน์ เสาระโส