หลังจากฉันตัดสินใจบอกทุกคนว่า ไปเที่ยวรัสเซีย เมืองมอสโคว และที่สำคัญฉันตัดสินใจเดินทางคนเดียวอีกครั้ง สารพัดประโยคก็พรั่งพรูออกมา ทั้ง ‘รัสเซียน่ากลัวนะ’ ‘คนรัสเซียเขาดูโหดๆ หน้านิ่ง’ แต่ที่เราตัดสินใจมาเที่ยวรัสเซียคนเดียว มีสองเหตุผลหลักคือฉันเบื่อเที่ยวเอเชียแล้ว แต่ละที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนกันก็จริง แต่วัฒนธรรม กลิ่นอายของผู้คนบางอย่างที่ฉันยังสัมผัสได้ไม่ต่างกัน และอีกเหตุผล คือ ต้องการไปประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป แต่ไม่ต้องการทำวีซ่าต่างๆ เนื่องจากเวลาอันกระชั้นชิด 1 เดือนก่อนเดินทางเที่ยวรัสเซียเท่านั้น การเที่ยจจวรัสเซียถ้ามาเที่ยวเองการหาข้อมูลก็จะต้องใช้เวลา แต่ถ้าใครที่อยากมารัสเซีย แต่ไม่อยากยุ่งยาก ชอบเที่ยวชิลล์ๆ ไม่อยากวางแพลนเที่ยว เราคิดว่า ไปกับทัวร์ก็สนุกและสะดวกดี ทัวร์รัสเซียมีให้เลือกหลายแพ็กเกจ สามารถเข้าไปดูได้ใน ทัวร์ครับ (Tourkrub) เว็บไซต์ที่รวบรวมทัวร์ต่างประเทศไว้มากมาย ทัวร์ราคาไม่แพง เชื่อถือได้ จองทัวร์ครบ จบที่ทัวร์ครับ ทริปรัสเซีย เที่ยวคนเดียวในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ไปเที่ยวพร้อมกันได้เลย 2 ข้อที่ฉันรู้เกี่ยวกับ มอสโค รัสเซีย คือ เป็นประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย ทั้งป้ายบอกทาง สถานที่และผู้คน (คล้ายๆ กับญี่ปุ่นแต่คิดว่าพวกป้ายตามสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นยังมีอยู่บ้าง แต่ที่มอสโควไม่มีเลย) มีมหาวิหารทรงโดมปอสค์นิสต์ ยาคอฟเลฟและสถาปัตยกรรมสุดอลังการ รัสเซียมีทั้งหมด 4 ฤดู เที่ยวได้เริ่มที่เดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม คือ ฤดูร้อน (Summer) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15 องศา เป็นอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย ใส่เสื้อคลุมที่ไม่หนามากก็สามารถเที่ยวได้ ทำให้เป็นฤดูกาลที่มีนักท่องเที่ยวคึกคักมากที่สุด เดือนกันยายน - เดือนพฤศจิกายน ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) เป็นฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวชาวไทยต่างชื่นชอบและนิยมมาในช่วงนี้ เพราะเหล่าแมกไม้ที่ใบเปลี่ยนจากสีเขียวขจีเป็นสีเหลืองหรือสีส้มอมแดง และเริ่มร่วงลง เป็นความสวยงามอีกแบบหนึ่งที่ไม่ว่าใครมาเยือนรัสเซียช่วงนี้ก็นิยมถ่ายรูปกัน แต่อุณหภูมิของฤดูนี้จะอยู่ที่ 10 องศา บางวันที่ฝนตกจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 องศา และช่วงกลางคืนอยู่ที่ -1 องศา แนะนำว่าควรจะใส่ฮีทเทคทั้งเสื้อและกางเกง เดือนธันวาคม - เดือนกุมภาพันธ์ ฤดูหนาว (Winter) อีกหนึ่งฤดูที่เราอยากแนะนำ หากใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศสถาปัตยกรรมที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนเหมือนกับฉากหลังในเทพนิยาย และตลาดคริสต์มาสต์บริเวณจตุรัสแดง (Red Sqaure) ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม (วันคริสต์มาสต์ของรัสเซีย คือ วันที่ 7 มกราคมเพราะรัสเซียศาสนาคริสต์นิกาย Orthodox Christians) แต่อุณหภูมิในฤดูนี้เฉลี่ยอยู่ที่ -15 ไปจนถึง -30 องศา ต้องเตรียมเครื่องแต่งกายและร่างกายให้แข็งแรง เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม ฤดูไม้ใบผลิ (Spring) จริงๆ เป็นฤดูที่เราอยากคิดว่าอยากจะกลับมารัสเซียอีกครั้ง ด้วยอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นแต่ยังไม่ร้อนจนเกินไป อีกทั้งต้นไม้เริ่มผลิใบ ดอกไม้เบ่งบานอีกครั้ง อุณหภูมิอยู่ที่ 5 องศาและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่ง 15 องศาในเดือนพฤษภาคม และที่สำคัญยังมีโอกาสได้เจอกับปรากฏการณ์ White Night พระอาทิตย์เที่ยงคืนที่จะมีเฉพาะเดือนพฤกษภาคม-เดือนกรกฏาคม และข้อมูลเบื้องต้นคร่าวๆ เกี่ยวกับการเดินทาง อาหารและการใช้ชีวิตนักท่องเที่ยวในมอสโควอย่างกระชับ 5 ข้อนี้ สายการบินที่ให้บริการจากกรุงเทพ นั้นมีทั้งบินตรงอย่าง Aeroflot , Thaiairway , S7 และสายการบินที่ต่อเครื่องระหว่างเมืองอย่าง Qatar ต่อเครื่องที่เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ , Austrian Airlines ต่อเครื่องที่เมืองกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย , Gulf Air ต่อเครื่องที่ประเทศบาห์เรน , Vietnam Airline ต่อเครื่องที่เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม และสายการบิน Oman Air ต่อเครื่องที่เมืองมัสกัตประเทศโอมาน ซึ่งเป็นสายการบินที่เราเลือกใช้เดินทางครั้งนี้ เนื่องจากเป็น Full Service และเครื่องที่ค่อนข้างใหม่ มีหนังบนเครื่องให้เลือกหลากหลาย มีผ้าห่ม หมอนและหูฟังครบครัน ที่สำคัญอาหารบนเครื่องค่อนข้างโอเคแต่เป็นอาหารตะวันออกกลาง แต่จัดเต็มมีทั้งชนมขบเคี้ยว อาหารหลักและขนมหวาน รวมถึงสามารถสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ (มีเบียร์และไวน์) โดยลงเครื่องที่สนามบินโดโมเดโว (DME) การเดินทางเข้าเมืองสามารถนั่งรถบัส , รถไฟฟ้าหรือแท็กซี่ได้ แนะนำให้เรียกผ่านแอพพลิเคชั่น Yandex Taxi สามารถตัดบัตรเครดิตได้และมีข้อมูลของคนขับครบถ้วน ไม่แนะนำให้โบกเพราะแท็กซี่ที่รัสเซียมีกิตติศัพท์เรื่องการทอนเงินไม่ครบ หรือกลวิธีต่างๆ ที่ทำให้เราหมดสนุก ซิมการ์ดของเครือข่ายรัสเซีย จากที่เราหาข้อมูลพบว่าไม่สามารถใช้แอพพลิเคชั่น LINE ได้ จึงเลือกใช้ Sim2fly ของ AIS (จริงๆ ซิมของเครือข่ายรัสเซียถูกกว่านะ) ค่าเงินของรัสเซียมีหน่วยเป็นรูเบิ้ล (RUB) สามารถแลกได้ที่ร้านแลกเงินทั่วไป (แต่แนะนำว่าให้โทรสอบถามก่อน บางช่วงสกุลเงินนี้ก็ขาด ต้องจองล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์) โดยวิธีคิดเงินรัสเซียเป็นเงินไทยอย่างง่าย คือ ให้หาร 2 จากเงินรูเบิ้ลได้เลย เช่น 500 RUB = 250 บาท หรือ 260 บาท อยู่ที่ประมาณนี้ การเดินทางในมอสโคว มีทั้งรถไฟฟ้า , รถเมล์ , รถราง และแท็กซี่ เราแนะนำว่าการเดินทางหรือการใช้ชีวิตในรัสเซียที่จะง่ายขึ้น คือ อย่าพยายามอ่านภาษารัสเซีย ถึงแม้แวบแรกที่เห็นตัวอักษรส่วนใหญ่จะคล้ายกับภาษาอังกฤษก็ตาม เพราะนั้นจะทำให้เราสับสน แนะนำว่าให้เทียบป้ายกับข้อมูลใน Google Map ช่วงตัวหน้าสุดและตัวท้ายสุดให้ตรงกันก็พอ และถ่ายป้ายสำคัญๆ ไว้ เช่น ป้ายชื่อสถานที่ที่จะไป ป้ายทางเข้า-ทางออก และป้ายห้องน้ำ บัตร TPONKA สามารถใช้กับรถไฟฟ้า รถบัส รถราง ที่มอสโควด้วยกันได้ทั้งหมด แนะนำว่าเติมเป็นเงินจะถูกกว่าเหมาเที่ยวในกรณีที่แพลนมาแล้วว่าจะไปที่ไหนบ้าง แต่จริงๆ บนรถบัสสามารถใช้บัตรเครดิตที่สามารถจ่ายแบบ Paywave (เอาบัตรเครดิตไปแตะที่จุดแตะบัตร) ได้เช่นกัน หากใครไม่อยากไปหาซื้อบัตรดังกล่าว ร้านสะดวกซื้อในมอสโคว มีค่อนข้างน้อย จากการสำรวจผ่านตาคร่าวๆ เราคิดว่าพิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่ต่างๆ อาจมีจำนวนมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป แนะนำว่าให้เอาอาหารกึ่งสำเร็จรูปอย่างมาม่า โจ๊กติดไปบ้างก็ดี อาหารมอสโควที่เราเห็นป้ายตามร้านค่อนข้างบ่อย คือ เกี๊ยว (Pelemeni) ที่สอดไส้เนื้อวัว ผัก เห็ดและอื่นๆ จิ้มกับซาวครีม ซึ่งพอลองกินแล้วก็ไม่ถูกปากสักเท่าไหร่ ตลอดทั้งทริปเราจึงประทังชีวิตด้วยอาหารเวียดนาม จีน และเกาหลี รวมถึง Fastfood อย่าง Burger King ที่ราคาถูกกว่าไทยมากๆ หลังจากข้อมูล ตั๋วเครื่องบินและโฮสเทลทุกอย่างพร้อมแล้ว ทริปมอสโคว 6 วัน 5 คืน ก็เริ่มขึ้นโดยแพลนหลักๆ เราจะไปสถานที่เชิงสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ รวมถึงสเปซ แกลลอรี่ต่างๆ ในมอสโคว ด้วยประวัติศาสตร์ที่ในอดีตมีระบอบปกครองภายใต้ราชวงศ์โรมานอฟกว่า 300 ปี ซึ่งมีทั้งความรุ่มรวยเงินทอง และบรรดาราชวงศ์ ชนชั้นสูงต่างใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟื่อยทั้งอาหาร การแต่งกายที่ประดับดาด้วยเครื่องเพชร รวมไปถึงการชมละครบัลเลต์ต่างๆ หากใครที่นึกภาพไม่ออก เมื่อเหยียบที่มอสโควแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้ทันที เพราะไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนผู้คน สำนักงาน ร้านอาหารหรือกระทั่งตึกทั่วๆ ไปกลับอลังการไปเสียหมดราวกับว่าทุกสถานที่เป็นที่พิเศษ เป็นทริปที่เราหยุดดูตึกอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับแอบทายในใจว่าสถานที่นี้คืออะไร บางทีก็เป็นเพียงบ้านคนเท่านั้น หรือบางแห่งก็เป็นเพียงสำนักงานสักอย่าง โดยทริปนี้เราลิสต์สถานที่หลักทั้งหมด 8 แห่ง ดังนี้ Grand Kremlin Palace (ภายในประกอบไปด้วย The Assumption Cathedral , The Archangel Cathedral , The Annunciation Cathedral , The Patriarch’s Palace with the twelve Apostles’ Church) St.Basil’s Cathedral The Pushkin Museum of Fine Arts New Tretyakov Gallery The Museum of Cosmonautics Garage Museum of Contemporary Art Cathedral of Christ the Saviour วันแรกฉันถึงสนามบินโดโมเดโว (DME) ราวๆ สองทุ่มและพบว่าโคตรหนาว ทั้งอุณหภูมิเลขตัวเดียวต้นๆ และละอองฝนบางๆ ก็ทำเราเอาหยิบเสื้อโค้ทขนเป็ดออกมาแทบไม่ทัน ด้วยความอ่อนเพลียจากการต่อเครื่องและความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการงาน ฉันตัดสินใจเรียกแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยสังเกตป้ายต่างๆ พร้อมกับพิมพ์บอกคนขับว่าใส่เสื้อสีอะไร กระเป๋าสีไหน จุดที่ยืนมีอะไรบ้าง ด้วยคำง่ายๆ เช่น Black Coat , Big Bag Yellow , Smoke Area เพราะอย่างที่บอกไปว่าคนรัสเซียไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักหรือถ้าสื่อสารก็ประโยคพื้นฐานหรือเป็นคำๆ เท่านั้น และคอยดูเป็นระยะว่าแท็กซี่อยู่ตรงไหนแล้ว ป้ายทะเบียนไหน เพราะจุดที่ยืนรอค่อนข้างวุ่นวาย เหมือนตรงจุดจอดสนามบินดอนเมืองบ้านเรา สำหรับที่พักตลอดทริปนี้ ฉันเลือกพักที่เดียวกันทั้งหมดเพราะสะดวก ไม่ต้องการขนย้ายสิ่งของ รวมถึงเลือกเป็นรูปแบบโฮสเทล ที่เป็นห้องพักเฉพาะผู้หญิงจำนวน 8 เตียง ที่สำคัญโลเคชั่นของที่พักนั้นดีมากๆ ห่างจาก Grand Kremlin Palace เพียง 900 เมตร และใกล้กับมหาวิหารเซนต์ซาเวียร์ (Cathedral of Christ the Saviour) 750 เมตรและ The Pushkin Museum 230 เมตรเท่านั้น (อ้างอิงจาก Google Map) ทั้งทริปนี้เราจึงใช้ค่าเดินทางในเมืองไปราวๆ 1000 กว่าบาทเท่านั้น ใช้รถเมล์และเดินเท้าเป็นหลัก Grand Kremlin Palace (ภายในประกอบไปด้วย The Assumption Cathedral, The Archangel Cathedral, The Annunciation Cathedral, The Patriarch’s Palace with the twelve Apostles’ Church) มาถึงวันแรกฉันก็เลือกที่ปราบเซียนนักท่องเที่ยวเลยทีเดียวไม่ใช่เพราะว่าจำนวนผู้คนมหาศาลเท่านั้น แต่กว่าฉันจะหาจุดขายตั๋วเจอก็ค่อนข้างมึนและเหงื่อออกเล็กน้อยเช่นกัน พอเจอแล้วก็ต้องทำด้องยืนทำความเข้าใจอยู่ตรงป้ายแผนที่อยู่พักใหญ่ เพราะตั๋วมีหลากหลายให้เลือก โดยจุดที่ว่านั้นชื่อว่า Alexander Garden และอีกหนึ่งจุดที่ชื่อว่า Armoury Chamber (แนะนำว่าเป็นจุดแรกจะดีกว่าเพราะเปิดขายตั้งแต่ 9:30 น.) เช่น จะชมเฉพาะสถาปัตยกรรมภายนอกของพระราชวังอยู่ที่ 700 RUB หรือถ้าชมส่วนอื่นๆ ภายในพระราชวังจะต้องเสียเพิ่ม แนะนำว่าให้ทำการบ้านไปเลยว่าต้องการดูตรงไหนบ้าง เพราะตั๋วจะขายเป็นรอบๆ และเข้าได้เฉพาะรอบที่ซื้อเท่านั้น โดยฉันเลือกรอบเข้าพระราชวังเคลมลินที่เร็วที่สุดตอน 12:00 น. และซื้อตั๋วเข้าชม วิหาร Cathedral of the Annunciation , โบสถ์ Cathedral of St. Michael the Archangel , โบสถ์ที่สร้างตั้งแต่ในสมัยพระเจ้าอีวาน ค.ศ. 1559-1585 Cathedral of The Dormition หรือ Assumption , พิพิธภัณฑ์คลังอาวุธและที่เก็บสมบัติ Kremlin Armoury Chamber โดยแต่ละจุดด้านในจะต้องเลือกรอบเข้าชมในตั๋ว โดยจะต้องเข้าตามเวลาเท่านั้น แนะนำว่าควรกะเวลาแต่ละแห่งเพราะอย่าง Kremlin Armoury Chamber มีด้วยกันทั้งหมดสองชั้น แต่เป็นสองชั้นที่โอ่อ่า อีกทั้งแต่ละแห่งก็มีทัวร์แน่นขนัดตา การเข้าชมหรือเวียนชมจุดต่างๆ บางครั้งต้องรอคิวหรือไม่ก็ต้องชะโงกดู ฉันเลือกเข้าชมโบสถ์ต่างๆ ในพระราชวังตั้งแต่ 12:00 น. เมื่อได้ตั๋วแล้วก็รีบไปต่อแถวเข้าพระราชวังทันที และตั้งนาฬิกาไว้ที่ 13:30 เพื่อเดินไปต่อคิวเข้า Kremlin Armoury Chamber ในรอบ 14:00 น. บริเวณจุดตรวจเข้าพระราชวังเคลมลินต้องถอดเสื้อคลุมด้านนอกออกทั้งหมด เครื่องประดับ มือถือต่างๆ รวบใส่กระเป๋าทั้งหมด เมื่อเดินผ่านเครื่องจะได้ผ่านฉลุย หากมีเสียงดังขึ้นจะต้องเริ่มตรวจใหม่ จากจุดนี้ใช้เวลาราวๆ 30-45 นาที ด้วยความหนาแน่นของผู้คน ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดาก็ตาม หลังจากที่ผ่านจุดตรวจมาแล้ว State Kremlin Palace หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Kremlin Palace of Congress อาคารทรงโมเดิร์นสีขาวสะอาดตา ประดับประดาด้วยกระจกแต่ละช่องสะท้อนกับ Kremlin Armoury Chamber ทำเอาฉันที่กำลังจ่ำอ้าวเดินไปวิหารต่างๆ ต้องหยุดถ่ายรูปและตกตะลึงไปกับความสวยงามที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของอาคารนี้ ในอดีตนั้นเป็นสถานที่สำหรับประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ (Communist Party of the Soviet Union) แต่ปัจจุบัน เป็นสถานที่ใช้จัดคอนเสิร์ต ซึ่ง Mariah Carey ก็เคยมาเล่นสถานที่แห่งนี้นะ รวมไปถึงการแสดงของคณะบัลเลต์ Bolshoi Ballet แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมด้านใน และนี่คือวิหาร The Annunciation Cathedral วิหารแห่งนี้มีความเก่าแก่ถึง 535 ปี สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 ค.ศ. 1484 และเสร็จในปี ค.ศ. 1500 และมีโดมทองทั้ง 9 โดมมียอดไม้กางแขนเป็นเอกลักษณ์ของวิหารนี้ โดยภายในวิหาร โบสถ์ต่างๆ ของพระราชวังเคลมลินนั้นไม่อนุญาตให้บันทึกภาพใดๆ (ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะไม่ได้คอยบอกนักท่องเที่ยว แต่ก็มีป้ายแจ้งตลอดทาง) ถัดจากด้านขวาของวิหาร คือโบสถ์ The Assumption Cathedral (Dormition Cathedral) ส่วนตัวแล้วเราค่อนข้างชื่นชอบโบสถ์แห่งนี้มากกว่า ด้วยภาพจิตรกรรมบนตัวอาคารโบสถ์เอง ที่สำคัญโบสถ์แห่งนี้ยังสร้างโดย Aristotele Fioravanti วิศวกรและสถาปนิกชาวอิตาลี โดยยึดแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของรัสเซีย จากส่วนของโบสถ์และวิหารต่างๆ อาคารตรงหน้าเรานี้ คือ Kremlin Senate ซึ่งไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นสถานที่สำหรับทำเนียบและที่พักประธานาธิบดี อีกทั้งไว้ต้อนรับแขกจากต่างประเทศ น่าเสียดายที่ฉันดูเวลาคลาดเลื่อนไปนิดหน่อย เพราะจริงๆ แล้วยังเหลือเวลาอีก 15-20 นาที ฉันจะเดินทะลุออกมายังจัตุรัสแดงที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะครอบครัวชาวรัสเซียที่ต่างออกมาเดินเล่นรับอากาศดีๆ ตรงข้ามกับพระราชวังเคลมลิน คือ GUM ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่และหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในรัสเซีย ซึ่งด้วยอาคารสถาปัตยกรรม Russian medieval ในแวบแรกนั้นฉันเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้ คือ พิพิธภัณฑ์เสียอีก ห้างแห่งนี้สร้างโดย Alexander Nikanorovich Pomerantsev สถาปนิกชาวรัสเซีย ผู้โดดเด่นในศิลปะ Nouveau สถาปัตยกรรมสไตล์ Byzantine, Russian Revival GUM มีทั้งหมด 3 ชั้นและด้านบนของหลังคาเป็นโครงเหล็กกระจกโค้งที่ปล่อยให้แสงลอดผ่านส่องสว่างเข้ามา ทำให้บรรยากาศนั้นดูอบอุ่นและหรูหราอย่างคลาสสิก ถัดมาด้านขวาของห้าง GUM ที่ฉันเชื่อว่าหลายๆ คน เมื่อเสิร์ชคำว่า รัสเซีย หรือมอสโคว สถานที่แห่งนี้จะต้องขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ หรือรูปแรกอย่างแน่นอน มหาวิหาร St.Basil’s Cathedral โดม 9 โดมที่แต่งแต้มหลากสีสันบริเวณยอด โดยวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่ต่อสู้กับชาวมองโกล เมื่อปี ค.ศ. 1552 และสร้างเสร็จภายในระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น วิหารแห่งนี้สร้างโดยสถาปนิก Postnik Yakovlev สถาปัตยกรรมรัสเซียแบบโบราณผสมผสานกับ Byzantine โดยมีตำนานเล่าอีกว่า หลังจากที่เขาสร้างเสร็จแล้วพระเจ้าอีวานที่ 4 ควักลูกตาของเขาออก เพื่อไม่ให้สร้างสิ่งสวยงามเช่นเดียวกับที่แห่งนี้อีก เขาจึงได้รับสมญานามว่า อีวานผู้โหดร้าย (Ivan The Terrible) สถานที่แห่งนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมแต่ค่าตั๋วราวๆ 500-700 RUB หลังจากที่นาฬิกาดังขึ้น 13:30 น. ฉันรีบตรงกลับไปยังพระราชวังเคลมลินอีกครั้งและต่อแถวเข้าชม Kremlin Armoury Chamber หรือพิพิธภัณฑ์คลังอาวุธโบราณและสมบัติของราชวงศ์โรมานอฟ *หมายเหตุ รูปทั้งหมดได้ขอเจ้าของภาพแล้ว