บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึก ดีใจสักเท่าไหร่ มากแค่ไหนก็ไม่รู้ ขึ้นต้นเรื่องราวด้วยประโยคของบทเพลง "เรา สอง สามคน" ของอัสนี-วสันต์ โชติกุล แรงบันดาลใจของการเดินทางในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการดูภาพยนต์เรื่อง "เรา สอง สามคน" เนื้อเรื่องของหนังคือเรื่องราวรักสามเศร้าที่เล่าเรื่องพร้อมกับการเดินทางแบบ Road Trip จากไทยไปเวียดนาม หนังสนุก วิวสวย จนคิดว่าอยากจะลองเดินทางไปตามเส้นทางนี้ดู มันคือการเดินทางที่ท้าทายตัวเองอย่างมาก ยิ่งในตอนนั้นบอกเลยว่าภาษาอังกฤษของผมเข้าขั้นแย่เลยแหละ ผมไม่ได้รู้สึกกลัวนะ มีความตื่นเต้นมากกว่า เพราะมันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย ว่าจะต้องพบเจอผู้คนแบบไหน อาหารการกินเป็นยังไง จะเดินทางข้ามเมืองยังไง แต่เมื่อตัดสินใจดีแล้วก็เตรียมพร้อมที่จะพบเจอกับประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างน้อยชีวิตนี้จะได้มีเรื่องเล่ามันส์ ๆ เป็นของตัวเอง ถ้าทุกคนพร้อมที่จะเดินทางไปพร้อมกับผม เก็บกระเป๋า เตรียมตัว...ลุย!!! หลังจากที่วางแผนหาข้อมูลต่าง ๆ ไว้เรียบร้อย ผมเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถทัวร์นครชัยแอร์กรุงเทพ-มุกดาหาร ชั้น First Class เบาะที่นั่งใหญ่ แอร์เย็น นอนสบาย ช่วงก่อนเดินทางผมก็ได้ไปแลกเงินด่องเวียดนามให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกที่ด่าน วันนี้นอนหลับบนรถ เตรียมพร้อมที่จะลุยในวันพรุ่งนี้ เดินทางถึงจังหวัดมุกดาหารช่วงเช้าพอดี ล้างหน้าแปรงฟันทำธุระส่วนตัว จากนั้นเดินทางไปยังแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ด้วยรถโดยสารระหว่างประเทศ ทำเรื่องผ่านแดนทั้งฝั่งไทยและลาว เท่าที่หาข้อมูลมาบอกว่ารถจากสะหวันนะเขตจะไปเมืองเว้มีรอบ 08.30 น. และมีรอบเดียวต่อวัน ขณะที่ผมนั่งรถใกล้ถึงท่ารถสะหวันนะเขต รถทัวร์ไปเมืองเว้ก็ได้สวนออกไปแบบเฉียดฉิว!! เมื่อมาถึงท่ารถผมรีบไปติดต่อสอบถามคนขายตั๋ว ปรากฎว่ายังมีรถอีกหนึ่งรอบแต่เป็นรถที่ไปเมืองดานัง จากแพลนตอนแรกที่ผมจะไปพักที่เมืองเว้เลยถูกเปลี่ยนเป็นดานังแทน ราคาตั๋วจะแพงกว่ากันนิดหน่อย ถ้าจำไม่ผิดราคาอยู่ที่ประมาณ 600 บาท รถออก 9.00 น.ตรงเวลา ผู้โดยสารเป็นคนเวียดนามซะส่วนใหญ่กับคนลาวที่ไปเรียนและทำงานที่นั่น ส่วนผมเป็นผู้โดยสารคนไทยคนเดียวบนรถ หากใครเคยไปเวียดนามจะรู้เลยว่ารถทัวร์ของที่นั่นนอนสบายมาก ๆ ถึงด่านชายแดนลาว-เวียดนามประมาณเกือบบ่ายโมง รถจะแวะพักทานข้าวกันที่นี่และช่วงเดินทางก็จะแวะจอดพักรถเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องนํ้า ที่นี่ขับรถช้าเพราะด้วยกฎหมายที่ควบคุมความเร็ว ผมอยู่บนรถก็นั่ง ๆ นอน ๆ จนตกเย็นผมเลยเริ่มการพูดคุยกับคนลาวที่นั่งเบาะข้าง ๆ พี่เขาไปเรียนต่อที่เมืองดานังพูดได้ทั้งภาษาลาวและเวียดนาม เราสองคนพูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ จนผมคิดว่าเวลาของการเดินทางมันสั้นลงเลยล่ะ ผมพูดภาษาอีสานได้จึงทำให้การพูดคุยไม่เป็นอุปสรรค ก่อนลาจากกันพี่ชายคนลาวยังได้แนะนำสิ่งต่าง ๆ ในการเที่ยวที่นี่ ที่สำคัญเลยคือ "ระวังโดนโกง" เดินทางถึงท่ารถเมืองดานัง 20.00 น.พอดี จึงได้นั่ง Taxi ต่อไปยัง Hostel ผมเข้าพักที่ "Kon-Tiki DaNang Hostel" ซึ่งได้รับคำแนะนำจากเพื่อนชาวเวียดนามอีกที ซึ่งขอบอกว่าโฮสเทลที่นี่เจ้าของบริการได้อย่างดีเยี่ยม เอาใจใส่ดูแลแขกทุกคนเป็นอย่างดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ครบ เตียงนอนและห้องนํ้าถือว่าสะอาดมาก ที่สำคัญราคาถูกมาก ราคาประมาณ 150 บาทต่อคืน เหตุผลที่ผมชอบมาพัก Hostel หลัก ๆ เลยคือประหยัดค่าใช้จ่าย อีกอย่างคือได้เจอเพื่อนนักเดินทางใหม่ ๆ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน คนไม่เก่งภาษาอย่างผมจะได้ฝึกฝนการพูดและพัฒนาไปด้วย เข้าห้องพักยังไม่ทันไรเจอเพื่อนใหม่ชาวญี่ปุ่น ทักทายกันตามประสานักเดินทาง ซักพักชวนกันไปนั่งดื่มชิลล์ ๆ แถวโฮสเทล เราพูดคุยกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องแผนการเดินทาง, เหตุผลต่าง ๆ ในการมาเที่ยวที่นี่, คุยเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของประเทศพวกเรา, คุยเรื่องฟุตบอล พอดื่มได้ที่แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เป็นการเดินทางวันแรกที่ได้เจอมิตรภาพใหม่ ๆ ตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายชาวลาว เจ้าของโฮลเทล หรือแม้แต่เพื่อนชาวญี่ปุ่น "โยชิกิ" ขอบคุณพวกคุณมาก ๆ "เจอกันแม้เพียงชั่วคราว แต่ความทรงจำดี ๆ คงอยู่ตลอดไป" วันถัดมาผมก็ได้ท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ของเมืองดานัง ส่วนใหญ่จะเดินไปมากกว่า ผมไม่มีข้อมูลการท่องเที่ยวของเมืองนี้เลย เพราะสมัยนั้นเมืองดานังยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยสักเท่าไหร่ เมืองดานังเป็นเมืองชายทะเลที่มีความเจริญอย่างมาก สไตล์การท่องเที่ยวของผมคืออยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็หาที่นั่งเล่น ถ้าที่ไหนถูกใจก็จะอยู่กับสถานที่ตรงนั้นนานหน่อย เน้นเสพย์บรรยากาศเพื่อผ่อนคลายความรู้สึก ช่วงบ่ายเดินไปนั่งเล่นริมชายหาด "หมีเคว" ขอบอกเลยว่าร้อนมาก แต่ทะเลเวลาที่ไม่มีคนมันก็สวยมาก ๆ เลยนะ ช่วงเย็นผมอยากจะไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนเวียดนาม และตั้งใจอยากจะลองไปหาอะไรกินแบบ Local Food จึงได้ทักถามข้อมูลเพื่อนชาวเวียดนามไป เพื่อนแนะนำว่าให้ลองไปตลาดของคนท้องถิ่น เดินไกลหลายกิโลเมตรเลย ที่นี่คนเยอะมาก ๆ อาหารแต่ละอย่างก็น่าทานและราคาก็ถูกด้วย หลังจากเดินเล่นที่ตลาดเสร็จก็มานั่งเล่นแถวสะพานมังกร ตอนกลางคืนมีการโชว์มังกรพ่นไฟด้วย ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของการมาเยือนเมืองดานังเลย หลังจากดูโชว์มังกรพ่นไฟเสร็จก็กลับโฮสเทลมานอนพักผ่อน เช้านี้ผมมีแพลนเดินทางไปเมือง "ฮอยอัน" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองดานังสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่จะไปเมืองนี้ต้องเหมารถไป ซึ่งราคาค่อนข้างแพงเลย แต่ผมเลือกที่จะนั่งรถเมล์แบบชาวบ้านไป หลังจากรํ่าลากับเจ้าของโฮสเทล และบอกแพลนการเดินทางของผมว่าจะไปเมืองฮอยอันโดย Local Bus ทันใดนั้นเจ้าของโฮสเทลอาสาขับมอเตอร์ไซต์ไปส่งที่ป้ายรถเมล์ พร้อมกับบอกด้วยว่าต้องขึ้นรถเมล์สายอะไร ถ้าเหมา Taxi มาที่ป้ายรถเมล์เอง ค่ารถน่าจะ 200 บาทเป็นอย่างตํ่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึงที่หมาย เมืองฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี มีกลิ่นอายความเป็นวินเทจของเมือง ตึกสีเหลืองสไตล์ยุโรปควบคู่กับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเวียดนาม มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะมากดูครึกครื้นดี มีร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมาย หลังจากที่ Walk in เดินหาที่พักเสร็จ ผมออกมาเดินเล่นถ่ายรูป หลังจากที่ได้ดูความสวยงามและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ ผมตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่เพิ่มอีกคืน แค่คืนเดียวคงไม่พอสำหรับผมจริง ๆ เพราะเมืองฮอยอันนั้นมีเสน่ห์มาก ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความสวยงามของเมืองหรือรอยยิ้มน่ารัก ๆ ของสาวเวียดนามกันแน่นะ แฮร่!! พอตกเย็นก็เดินเล่นรอบเมือง ดูโคมไฟที่ประดับตามอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ บรรยากาศช่างมีความโรแมนติก ยื่งมืดคนยิ่งเยอะ ต่างก็ออกมาดูความสวยงามของโคมไฟ มีอาหารให้ลิ้มลองหลายอย่าง แต่ทีเด็ดในคืนนี้สำหรับผมคือได้ไปดื่มเบียดสดแก้วละประมาณไม่ถึง 10 บาท ซึ่งร้านอาหารแต่ละร้านสามารถต้มเบียร์จำหน่ายได้ ขอบอกเลยว่ารสชาตินุ่มคอมาก ๆ ถูกใจสายดื่มอย่างแน่นอน หลังจากอิ่มเอมใจกับการนั่งดื่มเบียร์สดและชมวิวบรรยากาศของเมืองฮอยอัน จึงได้กลับโรงแรมไปพักผ่อน ตื่นเช้ามาในวันนี้ ก็ได้เดินเล่นดูบรรยากาศ ดูวิถีชีวิตยามเช้า ได้ไปลองดื่มกาแฟใส่ไข่ รู้สึกมัน Amazing มาก รสชาติออกหวาน ๆ เลี่ยน ๆ หน่อย แต่ยอมรับอย่างหนึ่งเลยว่ากาแฟเวียดนามจะเข้มและมีกลิ่นหอม หลังจากได้เดินเที่ยวถ่ายรูปและเดินไปสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองฮอยอัน สิ่งสุดท้ายที่จะต้องทำให้ได้เลยคืออยากทานอาหารเวียดนามแบบจัดหนักจัดเต็ม จนมาถึงร้านหนึ่งซึ่งมองด้วยตาก็รู้เลยว่าเป็นร้านให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ราคาน่าจะแพงแน่ ๆ ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้ว จะเดินออกไปก็คงจะดูแปลก ๆ พอนั่งโต๊ะพนักงานรับออเดอร์เสร็จ อาหารจะถูกจัดมาเป็นชุดซึ่งขอบอกว่าเยอะมาก พนักงานก็สาธิตวิธีการทานให้ดู เอาทุกอย่างมาห่อรวมกันในแผ่นแป้ง รสชาติอาหารอร่อย ราคาอาหารที่จ่ายไปในมื้อนี้น่าจะประมาณ 300 บาท ซึ่งก็ถือว่าโอเค จบทริป 5 วัน 4 คืน กับการนั่งรถไกลข้าม 3 ประเทศ ไทย-ลาว-เวียดนาม การเดินทางแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาประมาณนึง เพราะการเดินทางจะเป็นไปในลักษณะเรื่อย ๆ แบบไม่เร่งรีบ คาดเดากับการเดินทางไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็ได้เปิดประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับตัวเอง ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าจนเกิดเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกัน ได้ฝึกใจตัวเองให้กล้าเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ "เพราะการผจญภัยจะทำให้หัวใจของเราแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม" ไว้เจอกันใหม่ในการเดินทางครั้งต่อไป..ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันครับ :) ภาพประกอบทั้งหมด โดยผู้เขียน : Ti on My Way