หลังจากเรื่องที่ผ่านมาผมได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางมาที่สหรัฐอเมริกา จนมาถึงที่สนามบินที่ วอชิงตันดีซี ซึ่งรวมเวลาในการเดินทางมาทั้งหมดของผม ร่วมๆ 30 ชั่วโมงเลยทีเดียว ตั้งแต่เชียงราย - สุวรรณภูมิ - เกาหลี - ฟลอริด้า - วอชิงตันดีซี เบื่อการขึ้นเครื่องบินไปอีกนานเลยทีเดียว โดยทันทีที่เดินทางมาถึงก็ตื่นตากับบ้านเมืองที่วางผังเมืองที่สวยงามเป็นระเบียบ คือไม่หลงได้ง่าย เพราะเป็นบล็อคสี่เหลี่ยม สามารถทะลุหากันได้ทุกบล็อค ในวันแรกพี่ๆ ล่ามคนไทยที่มารับเราก็ได้แนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และร้านอาหารที่อยู่ใกล้ที่พักในระหว่างที่อยู่ที่วอชิงตัน ซึ่งจะต้องอยู่ที่นี่ถึง 7 วัน วอชิงตัน ดีซี เป็นเมืองหลวงของ สหรัฐอเมริกา ในความคิดผมคือมันจะต้องพลุกพล่านมากเหมือนกรุงเทพฯ แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น วอชิงตันเป็นเมืองที่ไม่แออัดมาก แม้ว่าจะมีสถานที่สำคัญต่างๆรวมอยู่ในเมืองนี้ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว และอาคารสำคัญๆ ของรัฐบาล เช่นทำเนียบขาว อาคารัฐสภา กระทรวงการต่างประเทศ ฯลฯ ที่นี่ส่วนมากผู้คนจะใช้การเดินเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากบ้านเรา ไปปากซอยต้องมอไซค์รับจ้าง แต่ที่นี่เดินกัน 2-3 กิโลกันสบายๆ อาจจะเพราะอากาศที่นี่ไม่ร้อนมากเหมือนบ้านเราก็ได้ ซึ่งในวันแรกที่มาถึงเรามาถึงกันประมาณ 14.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น แล้วได้เช็คอินที่โรงแรม ก็เสร็จประมาณบ่าย 3 โมง จากนั้นก็เดินเที่ยวกันตามอัธยาศัย แต่พี่ๆ ล่ามบอกว่าอย่างเพิ่งนอน เพราะเดี๋ยวจะตื่นมากลางดึกแล้วนอนไม่หลับ รอสัก 4 -5 ทุ่มค่อยนอน หลังจากที่ผมจัดข้าวของใส่ตู้เสื้อผ้าเสร็จก็ได้เดินเที่ยวเล่นละแวกใกล้ๆ โรงแรม เพราะกลัวหลง อีกทั้งภาษาอังกฤษของผมไม่แข็งแรงเท่าไหร่ การสำรวจรอบๆ ทำให้ได้รู้ว่าใกล้โรงแรมมีร้านอาหารไทย 2 ร้าน และร้านค้าทั่วไป รวมถึงมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนในย่านจอร์จทาวน์กรุงวอชิงตันดีซีก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2332 อยู่ด้วย เมื่อสำรวจรอบๆแบบกลัวหลงแล้ว ก็พบว่าเวลา 17.00 น.ทุกวันที่โรงแรมมี happy hour บริการเครื่องดื่ม ทั้งไวน์ แชมเปญ เบียร์ และขนม บริการ 1 ชั่วโมง (ผมไม่พลาดสักวัน) เมื่อหมด happy hour ผมก็ออกมาเดินเล่นหน้าโรงแรมดูวิถีชีวิตคนที่นี่ แต่แปลกว่าเดินไปเดินมาตั้งนานแล้วทำไมไม่มืดสักที มองดูนาฬิกา เกือบ 2 ทุ่มแล้วพระอาทิตยยังไม่ตกดินเลยเหมือนประมาณ 4 โมงเย็นมากกว่า พอสัก 3 ทุ่มเริ่มมืดผมก็เลยกลับเข้าห้องพักอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัวคงเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง และแล้วผมก็ตื่นขึ้นมาโดยคิดว่าหลับไปนานแน่ๆ ที่ไหนได้ เพิ่งตี 3 อาการเจ็ทแลคเล่นงานซะแล้ว ร่างกายยังคงจำเวลาในการใช้ชีวิตที่บ้านเรา ทำยังไงก็ไม่ยอมหลับเปิดทีวีดู ฟังเพลง เล่นเกม แล้วก็เผลอหลับไปอีกรอบ จนนาฬิกาปลุกดังขึ้น ตอน 8 โมง (ตั้งปลุกสายเพราะวันนี้ไม่มีเข้าประชุม ) วันนี้จะมีไกด์พาไปเที่ยวชมเมือง ตื่นมาพร้อมกับความงงๆ มึนๆ เหมือนนอนไม่อิ่ม อาบน้ำแต่งตัวเดินลงมาตามเวลานัดหมาย 9 โมงเช้า โดยวันนี้พวกเราได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถานต่างๆ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งแต่ละแห่งมีที่มาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเราได้เดินทางไปเที่ยวชมทั้ง ทำเนียบขาว อาคารรัฐสภา อนุสาวรีย์ “แท่งดินสอ” Washington Monument อนุสรณ์สถานลินคอล์น Lincoln Memorial โซน อนุสาวรีย์สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม โดยเราได้เที่ยวชมในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาที่นี่ด้วย ทั้งหมดที่ว่ามาเราเที่ยวชมด้วยเวลาครึ่งวัน แล้วพี่ๆล่ามก็ถามว่าอยากไปที่ไหนอีกไหม พวกเราเลือกขอทานอาหารกลางวันแล้วพัก เพราะเริ่มเบลอ กับอาการเจ็ทแลค ที่ทำให้ง่วงมาก ประกอบกับอาการหวิวๆ เหมือนเวลาอยู่ในลิฟต์ หลังจากที่ได้เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และได้รับความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของสหรัฐอเมริกาแล้ว ก็ถึงเวลาพักเที่ยง ที่ต้องไปหามื้อกลางวันทานกัน แต่จะบอกว่านี่เป็นมื้อที่ 4 ในอเมริกา แต่พวกเราก็เลือกที่จะทานร้านอาหารไทยแล้ว 555+ ที่อเมริการาคาอาหารไม่ว่าจะอาหารไทย หรืออาหารท้องถิ่น จะอยู่ที่ประมาณ 15 เหรียญ หรือประมาณ 450 บาท ซึ่งเป็นราคาปกติของที่นี่ แต่ปริมาณก็เหมาะสมกับราคามาก เพราะปกติผมเป็นคนที่ทาน 2 จาน แต่มาเจอขนาดมาตรฐานที่นี่ ทานเกือบไม่หมดครับเพราะปริมาณพอๆ 3 จานในบ้านเรามารวมกัน ในตอนเย็นก็มีน้องที่รู้จักกันที่เค้ามาทำงานที่นี่ได้พาไปเที่ยวเอาท์เลท ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าที่นักช็อปต้องไม่พลาดถ้ามาอเมริกา ที่นี่มีของแบรนด์เนมเยอะมาก แยกเป็นอาคารละแบรนด์กันเลยทีเดียว ถ้าห้ามใจไม่ไหวอาจจะล้มละลายเลยก็ว่าได้ แต่ผมไปถึงเย็นนิดหน่อยเลยได้เดินแปบเดียว ได้รองเท้า 2 คู่ ที่นี่ราคาสินค้าจะถูกกว่าบ้านเราเกือบ 50% เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นที่ยังไม่ถึงบ้านเราแต่ว่าที่อเมริกาตกรุ่นแล้ว อย่างเช่นรองเท้าวิ่งลดราคาจนอยากได้ทุกคู่ ถ้าไม่ติดว่าต้องไปอีก 4 เมือง ผมคงเหมาแล้วล่ะ ก่อนจะกลับเข้าพักที่โรงแรมแล้วตื่นอีกที ตี 3 อีกแล้ว!!!! อาการหลงเวลายังคงหลอกหลอน ก็นอนเล่นเหมือนเดิม เช้าวันที่ 2 ที่วอชิงตัน ดีซี เช้านี้ผมเลือกที่จะลองเดินออกมาหาร้านอาหารใกล้โรงแรม ที่พี่ๆล่ามแนะนำ เป็นร้านอาหารเช้ามีเบอร์เกอร์หลากหลาย คนขายเป็นชาวเกาหลี ก็เดินเข้าไปอย่างมั่นใจเพราะคิดว่าสั่งอาหารมันจะยากอะไร เดินเข้าไปเพ่งเมนูอยู่ครู่นึงก็เจอเซ็ทอาหารถูกใจ มี สเต็ก ขนมปัง และกาแฟ เลยเข้าไปที่เคาท์เตอร์แล้วสั่ง "No.2" อย่างมั่นใจเพราะว่าเค้าคงไม่ถามต่อ แต่กลายเป็นเจอคำถามกลับมาเป็นปืนกล เพราะกาแฟที่ร้านเค้ามีหลากหลายชนิดมาก ทั้งกาแฟชินนาม่อน กาแฟผสมขิง กาแฟแบบแม็กซิกัน และอีกหลากหลายรวมกันเกือบ 10 แบบ โอ้ววววววว ฟังไม่ทัน ทีนี้ก็ออกอาการพูดภาษาอังกฤษด้วยมือจนสุดท้ายได้กาแฟอเมริกาโน่มา พร้อมกับเบอร์เกอร์สเต็กเนื้อ ใส่ครีม ที่น่าจะเป็นชีสมาให้แบบเยอะมาก มื้อนี้อยู่ที่ 4.5 เหรียญ อิ่มแบบแน่นมาก ในราคาย่อมเยาว์ โดยในวันนี้ผมและคณะเป็นการเปิดโครงการวันแรกของเรา ก็จะมีการแนะนำต่างๆ ในการใช้ชีวิตที่นี่ ตลอด 7 วันที่อยู่ใน วิชิงตันดีซี ซึ่งเราจะได้เข้าพบกับหน่วยงานต่างๆทั้งกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา สถานีข่าวต่างๆ และองค์การอิสระในการตรวจสอบข่าวปลอมหรือข่าวลวง ซึ่งก็ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักข่าวชายแดนอย่างผม กับทีมข่าวระดับโลก ซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ในช่วงวันที่ 3 ในวอชิงตันดีซี ผมทำรองเท้าคัทชูพัง เลยต้องออกหาซื้อรองเท้า เปิดกูเกิลดูแผนที่แล้วเดินตามจากตอนแรกคิดว่าแค่หาซื้อกาวติดรองเท้า เอาไปเอามากลับกลายเป็นเดินหาร้านรองเท้า เพราะไม่ได้ตั้งเป้าหมายตายตัวตั้งแต่แรกทำให้การเดินหาซื้อรองเท้าครั้งนี้ขาไปผมเดินเท้าประมาณ 7 กิโลได้ คือเริ่มจากโรงแรมเดินไปย่าน ดูปอนท์เซอร์เคิล แล้วก็วกกลับไปย่านจอร์จทาวน์ ก่อนจะลัดเลาะตามหมู่บ้านในย่านจอร์จทาว์นมาถึงโรงแรม ขากลับเดินแค่ 3 กิโล ซึ่งเป็นการหลงที่สนุกมากเลยทีเดียว ในวอชิงตันพวกเราใช้ชีวิตที่นี่ 7 วันแต่เหมือนกับว่าเราจะมาที่เมืองเดียวแล้วกลับไทย เพราะเริ่มคิดถึงบ้านแล้ว การที่จะโทรหาทางบ้านทำได้ในช่วงที่ตื่นเช้ามา และช่วงก่อนนอน ที่เวลาจะไม่ห่างกันมากมีเวลาคุยกันได้นาน แต่จริงๆ มันเพิ่งเริ่มต้น เพราะเราต้องเดินทางไปอีก 4 เมือง คือ เพนซาโคล่า ชิคาโก้ อลปาโซ่ และ ลอสแองเจลิส ในตอนต่อไปจะเป็นการท่องเที่ยวในเมือง เพนซาโคล่า ซึ่งผมจะเล่าถึงความเป็นเมืองชายหาด และความสวยงามของเมืองครับ ติดตามได้ในตอนต่อไปนะครับ ภาพโดย N.Laphing