สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ นี่ก็เป็นรีวิวแรกที่เราเขียนขึ้นมา รูปอาจจะไม่สวยเท่าไหร่เพราะถ่ายจากโทรศัพท์ธรรมดา ๆ เครื่องนึง (อย่าคาดหวังกับฝีมือการถ่ายรูปเรา) <<คำพูดจากปากเพื่อน>> ตกหล่นตรงไหน ขออภัยมา ณ. ที่นี้ เลยค่ะ แต่เอาเป็นว่าเราจะมาเล่าประสบการณ์ ในการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก (แบบ งง ๆ ) ไว้เป็นแนวทางให้เพื่อนๆกันค่ะ สืบเนื่องจากว่าเราทำพาสปอร์ตไว้นานมาก โดยที่ไม่เคยไปไหนสักครั้ง (ทำ ทำไม?) ประจวบเหมาะกับวันหยุดของที่ทำงาน ทำให้เกิดไอเดียขึ้นมา เอาวะ เสียตังค์ทำมา เอาไปใช้สักหน่อย ทริปนี้จึงเกิดขึ้น โดยจุดมุ่งหมายปลายทางครั้งแรกของเรา คือ "วังเวียง สปป.ลาว" ด้วยเหตุผลที่ว่า 1.ค่าครองชีพไม่สูงมาก 2.ภาษาที่ฟังออก (อ่านไม่ได้) 3.การเดินทางที่ไม่ต้องนั่งเครื่องไป (เงินไม่มี) โดยศึกษาข้อมูลจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ มาเป็นเวลายาวนานถึง 3 วัน TT โทรชวนผู้ร่วมชะตากรรมได้ 1 คน เอาล่ะ ออกเดินทางได้ โดยการเดินทางครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ กลับรถไฟ ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน นอนบนรถ 2 คืน = 5 วัน 4 คืน กันเลยทีเดียว (เดินทางวันที่ 4-8 พฤษภาคม 2560) วันที่ 4 พ.ค. 60 เริ่มความตื่นเต้นของเราด้วยประสบการณ์ครั้งแรกในการนั่งรถทัวร์ของนครชัยแอร์ ที่ชื่อเสียงเลื่องลือ เรื่องบริการระดับเครื่องบินบก (ตั้งโดยเราเอง) เที่ยว 22.15 ไปลง บขส.อุดรธานี เวลา 5.50 น. แอบผิดหวังเล็กน้อย ตรงที่พนักงานบัสโฮสเตสดูไม่มีความมั่นใจเท่าไร ขึ้นมาพูดอะไรไม่ได้ยินเลย (แต่สวย เลยให้อภัย) ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเลยว่ายังไงเราก็ต้องไปทันรถอุดร-วังเวียง ที่ออกจากอุดร ที่ออกตอน 8.30 น. แน่ ๆ เพราะไม่ใช่เทศกาล ไม่ใช่วันหยุด ยิ้มอย่างภูมิใจ ขอบอกว่าการนั่งรถทัวร์นครชัยแอร์ครั้งแรกนั้น เราเลือกเฟิร์สคลาสด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องเดินทางไกลหลาย ชม. เบาะแลดูจะสบาย แต่เอาเข้าจริงจ้า เราเมื่อยมากกกกก นอนไม่หลับทั้งคืน เนื่องจากเราไม่ชินกับการนั่งรถทัวร์ (ถึงแม้จะเฟิร์สคลาส) เพราะเวลาเราไปไหน เรานั่งรถไฟชั้นนอนตลอด กลายเป็นว่าครั้งนี้หลังคดหลังแข็ง ถึงจะปรับเอนลงไปมากแล้วก็ตาม ประกอบกับบรถติดที่ ถ.มิตรภาพเป็นชั่วโมง ฝนตกอีก เอาที่สบายใจไปเลยจะติดแค่ไหนละก็ ข่มตาให้หลับต่อค่ะ วันที่ 5 พ.ค. 60 06.10 น. ตื่นขึ้นมาจะพบว่าถึง จ.อุดรธานี วังเวียงอยู่ไม่ไกล แต่ไม่ใช่นะคะ เราอยู่กันที่ ที่ จ.ขอนแก่น อยู่เลยจ้า จากกำหนดเวลาถึง จ.อุดรธานี 5.50 น. แต่นี่ตั้งอีก 100 กว่าโล จะถึงอุดร ผิดแผนสิคะคราวนี้ เอาไงล่ะ เปิดอินเทอร์เน็ตโดยด่วนเลยค่ะ พอถึง บขส. อุดร จึงรีบเดินไปถามตั๋วรถวังเวียง พบว่าเต็มค่ะ (อะไรจะขนาดนั้นT^T) แผนการของเราเลยถูกเปลี่ยนนะบัดดล จากที่จะนั่งรถจากอุดรธานี ไปวังเวียง เราก็เลยต้องนั่งไปลงเวียงจันทร์แล้วหารถต่อไปวังเวียงค่ะ ได้ตั๋วเป็นรอบ 9.00 น. ราคา 80 บาท (ใช่พาสปอร์ตหรือใบผ่านแดนชั่วคราว ซื้อตั๋วนะคะ) แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีค่ะ เพราะตอนซื้อตั๋วเราไปเจอ น้าคนนึงซึ่งจะไปวังเวียงเหมือนกัน เป็นเจ้าบ้านของ สปป.ลาว ค่ะ ดีใจเหมือนถูกรางวัล เลยชวนกันไปพร้อมกันเลยค่ะ จะได้ช่วยกันหารค่ารถ อันที่จริง ทาง พนักงานบขส. ก็มาถามถึงคนที่จะไปวังเวียงนะคะ เพราะเขาหารถตู้ต่อให้หลังจากเข้าเวียงจันทร์แล้ว คนละ 300 บาท โห่ ๆ ๆ แพงอ่ะ ไม่เอา ไปตามวิถีเราดีกว่า (สำหรับคนที่ชอบความสะดวก เชิญเลยค่ะ ไม่ต้องต่อรถหลายต่อ) 09.08 น. รถออกจาก บขส.อุดรธานี เลทนิดหน่อย ก้นถึงเบาะเราก็เฝ้าพระอินทร์ทันทีเลยค่ะ ตื่นมาอีกที พนักงาน บขส. ก็มาแนะนำขั้นตอนการออกเมืองค่ะ **ต้องบอกว่าคนไม่เคยไปต่างประเทศอย่างเรา (ถึงแม้จะใกล้กันแค่นี้) ตื่นเต้นกับช่วงเวลานี้สุด ๆ แล้วค่ะ** ขออธิบายเป็นข้อ ๆ สำหรับคนที่ยังไม่เคยนะคะ 1.พนักงานจะแจก Immigration Bureau ให้เรากรอกบนรถทั้งของไทย และ สปป.ลาว ตรงนี้ให้กรอกใบขาออกเมืองของไทยก่อนนะคะ (ขั้นตอนนี้จะทำให้เราเห็นความสำคัญของการพกปากกาขึ้นทันที) ปล.เก็บใบขาเข้าให้ดี ๆ นะคะ ห้ามหาย 2.หลังจากนั้น รถจะเข้าไปจอดส่งเราที่หน้าด่านเพื่อให้เราทำพิธีการออกเมือง เราไหล ๆ ไปตามเขาได้เลยคะ เสร็จแล้วก็กลับมาขึ้นรถคันเดิม ไม่ต้องกลัวเขาจะไม่รอนะคะ ใครช้าเขามาตามถึงที่เลยล่ะ อิ อิ 3.หลังจากคนครบเรียบร้อยแล้วรถก็จะข้ามแม่น้ำโขงทางสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ค่ะ ข้ามไทยมาแล้วเดี๋ยวมาต่อฝั่งลาวกันค่ะ 4. หลังจากที่ข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาวมาแล้วนะคะ รถบัสจะจอดเหมือนเดิมค่ะ ลงรถปุ๊ปจะเห็นห้องสำหรับแแลก One way ticket ที่แรกเลย ยังไม่ต้องไปต่อแถวแลกนะคะ มองผ่านแบบสวย ๆ ออกไปเลยค่ะ แล้วให้รีบไปทำพิธีตรวจคนเข้าเมืองก่อน ยื่นบัตรขาเข้าให้ ตม.ลาว โล้ด เสร็จขั้นตอนเดินออกมาให้สังเกตุห้องทางขวามือค่ะ ที่ตรงนั้นแหละที่เราจะออกไปแลก One way ticket กัน ไม่ต้องไปรอซื้ออยู่ที่เดียวค่ะ ในรูปคือเรารีบไปแลกบัตรก่อน ทำให้มาต่อแถวช้า กว่าจะผ่าน ตม. นานมากค่ะ คนเยอะจริง ๆ **One way ticket** ซื้อสำหรับใช้ผ่านเข้า-ออก ประเทศของลาวค่ะ จ-ศ ราคา 5 บาท, ส-อา ราคา 50 บาท (12,000 กีบ) จ่ายเงินบาทหรือเงินกีบก็ได้ค่ะ 5.หลังจากซื้อ One way ticket แล้วให้นำบัตรไปเสียบที่ช่อง คล้ายช่องเสียบบัตร บีทีเอส นะค่ะ เสียบแล้วปล่อยบัตรไปเลยนะคะ ไม่ต้องรอบัตรคืน (เพราะ จขกท. รอมาแล้ว ไม่ได้คืนหรอกค่ะ ใช้ครั้งเดียว ) 6.ถ้าเวลาเหลือรีบไปแลกเงินโล้ดเลยค่ะ ธนาคารที่เป็นที่นิยมที่สุดคือ พงสะหวันค่ะ เห็นรูปยันต์ เขียว ๆ เหลือง ๆ อ่ะใช่เลย ส่วนตัวไม่ได้แลกที่ด่านค่ะ เพราะกลัวขึ้นรถไม่ทัน ไปแลกที่วังเวียงเลย แต่เรทต่างกันอยู่ค่ะ สรุปแลกธนาคารดีที่สุด 7.เสร็จทุกอย่างรีบกลับขึ้นรถเหมือนเดิมค่ะ จบแล้วขั้นตอนเข้า-ออก เมือง ทริคง่าย ๆ ของเราเองเลยคือ ไหลตามคนอื่นไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ อิ อิ ไม่ต้องกลัวจะหลงหรือพูดไม่ได้เลยนะคะ สุ่ม ๆ ไปกับพี่ไทยที่มาด้วยกันนี่ล่ะค่ะ ขอต้อนรับทุกท่านสู่ ສາທາລະນະລັດ ປະຊາທິປະໄຕ ປະຊາຊົນລາວ ค่ะ ประเดิมด้วย โรงงาน เบยลาว หรือ เบียร์ลาว กันเลยค่ะ ดังมาก มีป้ายโฆษณาทุกหนแห่ง ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็ต้องขอบอกว่า ป้ายเบียร์ลาวนั้น เยอะกว่าป้ายบอกทางในลาวอีกค่ะ เหอะ ๆ ด้วยความที่ศึกษาข้อมูลมาน้อยนิด เลยพึ่งรู้ว่า ที่นี่เขาขับรถเลนขวาค่ะ มันอเมซิ่งสำหรับเรามาก O_O รถไทยจะมีจุดจอดอยู่ที่ตลาดเช้า เอาง่าย ๆ คือ บขส.ของลาวแบบย่อม ๆ นะค่ะ แต่ในขณะที่รถใกล้จะถึงตลาดเช้า มีผู้ชายประมาณ 5-6 คนวิ่งมาเกาะรถเรากลางถนนเลยค่ะ เราศึกษารีวิวไปแล้ว เลยไม่ตกใจเท่าไหร่ ส่วนเพื่อนเราสิคะ หูตาตื่นเลย คิดว่าเขาจะมาทำอะไรเรา ฮ่า ๆ ๆ ๆ ภาพตอนนี้ไม่ได้ถ่ายค่ะ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นใหญ่ ใกล้ถึงแล้ววว ถึงแค่เวียงจันทร์นะ T_T ที่ตลาดเช้าเราได้พบอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกหนึ่งอย่าง หลังจากลงรถค่ะ มันคือ แทน แท่น แท๊น ร้านทำเล็บเคลื่อนที่นั่นเอง ไม่ว่าคุณจะเล็บสั้น เล็บสวยขนาดไหน มาถึงที่นี่ เขาจะบอกให้คุณทำเล็บล่ะค่ะ คือแบบ มันสั้นจนจะไม่เหลือเล็บให้ทำแล้วนะ ปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวล -_- หลังจากนั้นเราก็ตามคุณน้าทั้งสองท่าน ซึ่งเป็นชาววังเวียงขึ้นรถที่เขาเรียกกันว่าจัมโบ้ ราคา 6,000 กีบ/ 5 คน ตกคนละ 30 บาทค่ะ เพื่อไปขึ้นรถ ณ.จุดนัดพบ อนุสาวรีย์ พระเจ้าอนุวงศ์ ค่ะ *การคิดเงินกีบเป็นไทย คือ ตัด 0 ออก 3 ตัว คูณด้วย 4 เช่น 10,000 กับ ตัด 0 ออก 3 เหลือ 10 x 4 = 40 บาทไทยค่ะ ระหว่างทางมีเรื่องคุยกันถูกคอค่ะ เพราะมีพี่ผู้ชายไทยอีกคนนึงมากับเรา น้าสาวชาววังเวียงก็เลยชวนมาเป็นเขยลาวด้วยเลยค่ะ พอถามกันว่าเป็นคนที่ไหน พี่แกบอก กรุงเทพฯ น้าสาวที่น่ารักก็ตอบว่าเอามาเป็นเขยจะได้ไปกรุงเทพฯ ฮ่า ๆ ๆ ๆ คนข้างหลัง อิอิ ปล.พึ่งรู้ว่านั่งนครชัยแอร์มาด้วยกัน แถมนั่งตรงข้ามกันอีกต่างหาก โลกกลมจริงงงง หลังจากการพูดคุยกับกับน้าสองคนแล้ว เราบอกว่า เรามาเที่ยวครั้งแรกกับเพื่อนสองคน น้าเขาก็บอกเลยว่า ไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่มีโจรเหมือนเมืองไทยนะ "ท่อนนี้แอบสะอึก" ปลอดภัยกว่ามาก เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาค่ะ หลังจากนั้นก็ขึ้นรถตู้ที่นัดไว้ไปวังเวียงกันค่ะ เอาล่ะ จะได้ไปวังเวียงสักที มาไกลแล้ว To be continued ค่ะ 12.30 น.หลังจากเราขึ้นรถตู้จากเวียงจันทร์ เพื่อที่จะไปวังเวียง ซึ่งเป็นรถตู้คนรู้จักของน้า ๆ ทั้งสอง ลักษณะเหมือนรถตู้อนุสาวรีย์นั่นแหละ โดยมีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 5 คน ในตอนแรก ค่าเสียหายเขาคิด 200 บาท เราเลยสงสัยว่าเก็บ 200 มันจะคุ้มเหรอวะ 5 คน ไป ๆ มา ๆ ขอเพิ่มเป็น 220 จ้า แต่เราก็โอเคในราคาอยู่ เลยยอม ๆ ไป อยากจะบอกสิ่งที่ไม่ได้เตรียมใจมาเลย คือ ทางงงง จ้า มันยิ่งกว่าอยู่บนดวงจันทร์ซะอีก ครั้งหนึ่งเราเผลอหลับไป แล้วรถไปตกหลุมอะไรไม่รู้ ตัวเราลอยหัวเกือบโขกเพดานรถตู้เลย และที่สำคัญมันมีช่วงขึ้น-ลง เขาด้วย (เราเป็นคนเมารถเวลาขึ้นเขา) ในใจคิดไว้แล้วว่า ลงรถตูต้องอ๊วกแตกแน่ ๆ เดี๋ยวโค้งขึ้น โค้งลง (มีประสบการณ์อ๊วกหลังจากขึ้นดอยอินทนนท์กับดอยปุย) แต่ที่ลาวนี่ดีหน่อยเพราะภูเขาไม่ได้สูงชันเหมือนบ้านเรา แต่ถ้าไปทางหลวงพระบางอันนี้รอผู้รู้มาตอบ ว่าทางเป็นอย่างไรแล้วกัน มาถึงความแปลกใจของเราที่มีต่อการคมนาคมของลาว คือ ระหว่างทางที่รถวิ่งผ่านนั้นถ้าออกมานอกเมืองมันจะไม่มีเส้นจราจรแบ่งเลน การขับแซงรถคันอื่นของที่นี่ อยากแซงเมื่อไหร่ก็แซงเลยจ้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงขึ้นเขา หรือลงเขา ทางโค้ง แซงได้หมด เอาแค่ไม่ตายพอ T_T (แต่ตูเกือบตาย) ที่สำคัญจะขับขึ้นแซงคันอื่นนั้น ไม่สนใจเลยนะจ๊ะว่า คันที่ขับสวนมาจะหลบไหม เพราะตูแซงขึ้นมาแล้ว เมิงต้องหลบบบบบบ ฝูงวัวที่นี่นั้นสามารถขึ้นมาเดินเฉิดฉายบนถนนราวกับเดินแคทวอร์ค รถต้องคอยหลบนะจ๊ะ ถ้าเป็นที่ไทยนะเหรอ.... ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกัน ไม่ว่ารถจะขับออกมาไกลจากตัวเมืองมากแค่ไหน สิ่งที่ยังคงตามมาหลอกหลอนทุกที่เลย นั่นก็คือ เบยลาว นั่นเอง เอาง่าย ๆ ป้ายร้านข้าวก็ต้องมีโฆษณาของเบยลาว อยู่ด้วย ซึ่งมันเยอะกว่าป้ายบอกทาง ที่บอกไปในตอนต้นจริง ๆ นะเออ 16.00 น. ขอต้อนรับทุกท่านสู่ ວັງວຽງ พอมาถึง ก็หอบร่างอันบอบช้ำจากการเดินทาง มาหาห้องน้ำ เพราะตอนนั้นเราและเพื่อนปวดท้องมาก (สงสัยเกิดจากการกระแทกของรถ) เลยถามหาห้องน้ำสาธารณะ แต่ที่นี่ไม่ห้องน้ำสาธารณะนะคะ ต้องรีบหาที่พักโดยด่วน เพราะทนไม่ไหวแล้ว วอ แหวน ล้านตัว สรุปค่ะเจอที่ไหนเอาเลยไม่เลือกได้ที่ใกล้สุด คือ Grand View Guesthouse ตรงสามแยกเลย สนนราคาที่ 550 บาทต่อคืน เราแลกเงินที่เคาน์เตอร์เช็คอินเป็นเงินกีบ จ่ายไป 260,000 กีบ ประมาณ 1,040 บาท ตกคืนละ 520 บาท ถูกกว่าจ่ายเงินบาทไทยค่ะ ได้โปรดมองข้ามผ้าห่มไป -_- ทำภารกิจต่าง ๆ อาบน้ำแล้วก็มาหาอะไรกินกันค่ะ เราลองนั่งร้านอาหารริมน้ำ เลื่องชื่อ ที่ใคร ๆ มาที่นี่แล้วต้องมานั่งกินอาหารพร้อมชมบรรยากาศของเมืองวังเวียงกันค่ะ เมนูอาหารค่ะ รีวิวอาหาร รสชาติ 9/10 อร่อยถูกปากเราค่ะ ปิ้งหมู (ซี่โครงหมูย่าง) กับต้มแซ่บ ชอบเป็นพิเศษเลยค่ะ เปรี้ยวเหมือนเอามะนาวมาใส่ทั้งสวน หน้าตา 9/10 สีสันน่ารับประทานดี บรรยากาศ 8/10 ตัดไป 2 เพราะเพลงที่เปิดในร้านมันไม่เหมาะกับบรรยากาศเอาซะเลย พวก EDM อย่างเนี่ย เพลงที่ส่วนใหญ่เป็นพลงไทยด้วยนะคะ ร้องได้ทุกเพลง อารมณ์เหมือนมาแพเทค ที่กาญจนบุรีเลยค่ะ หลังจากอิ่มท้องแล้วก็เดินทางกลับที่พัก แต่เราไม่โอเคที่พักเท่าไหร่ เนื่องจากนอนห้องแอร์ แต่แอร์ไม่เย็นเลย ถึงขนาดลดอุณหภูมิเท่าขั้วโลกเหนือแล้วก็ตาม ต้องเปิดพัดลมช่วยค่ะ ด้วยความที่ไม่เรื่องมาก + ขี้เกียจย้ายห้องเลยทนนอน 2 คืน มาโป๊ะแตกทีหลังตอนเช็คเอ้าท์ว่า คอมเพรสเซอร์แอร์พังค่ะ มันไม่หมุนเลย ทนโง่มา 2 คืนเต็ม TT ราตรีสวัสดิ์ วันที่ 6 พ.ค.60 วันนี้เราตั้งใจไปยังสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง บลูลากูนค่ะ โดยการเช่ามอเตอร์ไซต์ คันละ 200 โดนบีบแตรหลายรอบมากเพราะไม่ชินกับเลนถนนบ้านเขา เริ่มแรกเราหาปั้มน้ำมันก่อนเลยค่ะ เพราะน้ำมันในรถนั้นน้อยนิด ประกอบกับวันนั้นไฟดับทั้งเมือง ต้องไปซื้อน้ำมันขวด ตกขวดละ 40 บาท เติม ขับรถขึ้นไปทางเหนือ ไล่ถามตามร้านขายของริมทางค่ะ **ที่นี่ถ้าไฟดับ ปั้มน้ำมันเติมไม่ได้ค่ะ ปล.แผนที่ที่ได้รับมาจากร้านเช่ารถไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ ไม่สามารถแกะลายแทงได้จริง ๆ เวลาไปไหนต้องไล่ถามชาวบ้านไปตลอดทาง ขอบคุณ 2 ล้อคู่ใจค่ะ ที่พาไปถึงจุดหมาย Blue Lagoon หลังจากเดาทางมามั่ว ๆ ก็ถึงกันแล้วค่ะ ไม่ว้าวอย่างที่คิดแฮะ แต่ก็เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเหมือนเดิมค่ะ ระหว่างทางที่มาเห็นป้ายบลูลากูนที่ใหม่ด้วย แต่ดูจากทางเข้า คงต้องรถวิบากเท่านั้นล่ะค่ะ ไม่กล้าเสี่ยง อิอิ บรรยากาศรอบ ๆ ค่ะ น้ำเย็นมาก ลงไปขาชาเลยค่ะ Tham Phu Kham Cave ต่อกันที่ถ้ำปูคำ นี่คือสภาพทางที่ขึ้นไปด้านบนค่ะ ไม่เหมาะกับคนกลัวความสูงอย่างยิ่ง ชันและอันตราย ใช้ความระมัดระวังสูงเลยค่ะ (ยังอยากมีชีวิตกลับไทย) ด้านในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ค่ะ มีฝรั่งมานอนในนี้ด้วย ย้ำว่านอนนะคะ นอนจริงจังมาก สงสัยข้างนอกจะร้อน ที่ภาพเบลอคงจะแสดงให้เห็นได้ถึงความลำบากในการเดินขึ้นมานะคะ หลังจากอยู่ที่ Blue Lagoon สักพักใหญ่เรื่องจากฝนตกหนักมา พอซาหน่อยก็ขับฝ่าฝนออกมาเลยค่ะ บรรยากาศระหว่างทาง ด้วยสภาพอากาศไม่เป็นใจรูปก็เลยออกมาอย่างที่เห็น หลังจากฝ่าสายฝนจากบูลลากูนก็มาต่อกันที่นี่เลยค่ะ "ถ้ำจัง Tham Chang " เริ่มกันที่มุมยอดฮิต สะพานส้มค่ะ ไปซื้อตั๋วเตรียมตัวขึ้นถ้ำจังเป็นที่เรียบร้อย จกขท.เกิดท้องเสียขึ้นซ่ะงั้น ไปเข้าห้องน้ำได้แป๊ปเดียว เดินจะไปขึ้นถ้ำ เจ้าหน้าที่บอกปิดถ้ำแล้ว และคืนค่าเข้าชมให้ เพราะฝนตกหนัก และไฟในถ้ำดับ กลัวเป็นอันตราย เลยอดไปตามระเบียบ ขากลับเลยซื้อทุเรียนกับโรตีย้อมใจสักหน่อย ที่นี่นำทุเรียนจากไทยมาขายโลละร้อยบาท (เงินไทย) ที่เห็นคือพันธุ์กระดุมทองค่ะ โรตีที่นี่แผ่นละ 10,000 กีบ หรือ 40 บาท ไอ้ขาว ๆ ด้านบนเหมือนผงมะพร้าวเลยค่ะ เพราะสั่งกล้วย ช๊อคโกแลต มะพร้าว ไม่เจอมะพร้าวสักชิ้น ก็เลยขอเดาว่าเป็นแบบนั้น เพื่อนซื้อมาม่าเกาหลีมากิน ดูความเกาหลีของที่นี่ ใบเสร็จ ตะเกียบเกาหลีหมด เพราะคนเกาหลีมาเที่ยวเยอะนั่นเอง จขกท.มา หลังจากจุนซู ดงบังชินกิ กลับได้ 1 วัน ร้องไห้ TT ปิดท้ายด้วย สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาลาว ตอนกินที่นี่คือรสชาติอ่อนมาก แต่ซื้อกลับไปกินที่ไทย ไหงมันแรงว่ะ มีความคิดไปเองหน่อย ๆ วันที่ 7 พ.ค. 60 วันสุดท้ายแล้วสินะ เราจองตั๋วรถกลับเวียงจันทร์ตั้งแต่เมื่อวาน ได้รอบ 9 โมงเช้าค่ะ ก่อนขึ้นรถเลยต้องตุเสบียงลงท้องสักหน่อย เรานั่งรถมินิบัสขนาดเล็กกลับเวียงจันทร์ค่ะ รถก็วนไปรับคนตาม รร. เที่ยววังเวียง ขอบอกได้เลยว่า สาย ฝ. ไม่ควรพลาดเลยค่ะ (ทั้งคัน หุ หุ) สภาพทางบางช่วง จุดพักรถค่ะ เหมือนอยู่บ้านเลย ปล.กาแฟโบราณแก้วล่ะ 40 บาท เฮือกกกก พอเริ่มเข้าเมืองมาหน่อย เจอปัม ปั๊ม ปัม ปัม ปัม ปัม ป๋ามม (ปตท.) มี Jiffy Amazon พร้อมมม กลับสู่ "เวียงจันทร์" ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง 4 ชั่วโมง เลยไม่ได้เที่ยวตัวเมืองเวียงจันทร์ตามที่แพลนไว้ *ไว้มาซ่อมแล้วกันเนอะ* เราเลยรวมตัวกับคนไทยที่มาด้วยกัน 7 คนนั่งจัมโบ้ไปตลาดเช้า เพื่อต่อรถเข้าหนองคาย หรือจะไปอุดร แล้วแต่สะดวกค่ะ แต่จุดหมายของเราคือ หนองคาย เพราะเราตั้งใจจบแบบสวยหรูกับ รถด่วนพิเศษ "อีสานมรรคา" นั่นเอง ต้องใช้พาสฯ ในการซื้อตั๋วเหมือนเดิมค่ะ ชื่อเราภาษาลาว ทายสิว่าชื่ออะไร เธอชื่ออะไร~ รถเมล์ท้องถิ่นของ สปป.ลาว ค่ะ From Japan กลับไทยแล้วเด้อ ซำบายดี Welcome to Thailand วาปมาเลยสด ๆ ร้อน ๆ อยากบอกว่าตรงด่าน มีการสุ่มตรวจ ย้ำว่าสุ่ม ๆ จริง ๆ โดยดูจากหน้าตา ท่าทางล้วน ๆ ตัวเรารอดมา ส่วนเพื่อนนะเหรอ... หึ หึ ^^ เราสองคนกลับเพื่อนขอลงตรงด่าน เพราะว่าต้องกลับรถไฟ ส่วนรถจะไปสุดสายที่ บขส. ในเมืองโน้นละค่ะ ใครกลับรถไฟต้องลงตรงด่านเลยเด้อ ตอนแรกกะเดินจากด่านไปสถานีรถไฟ ใกล้แค่นี้ โฮ๊ะ ๆ ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ชักไม่ไหวแล้ว แดดร้อนเกิน เลยขึ้นสกายแลป (เรียกแบบนี้หรือเปล่า) คนละซาวบาท ขอบคุณตัวเองในใจ ดีนะตูไม่เดิน ไกลมากกกกก (ตามวิถีคนอ้วน) คุยไปเรื่อยเปื่อยกับพี่คนขับสุดหล่อ ก็ถามหนองคายบ่อยไหม ฝากนามบัตรมา เผื่อใช้บริการครั้งหน้า ใครจะไปหนองคายอยากได้สกายแลป หลังไมค์มาโลดเด้อ ที่นี่สถานีหนองคาย ที่นี่สถานีหนองคาย ตารางรถไฟไปท่านางแร้ง สปป.ลาว ค่ะ และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของตัวดิฉันเอง ฮิ ฮิ มาแสตนบายรอแล้ว ระหว่างรอรถไฟออก ตอน 19.10 น. ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี แล้วไปหาอะไรลองท้องกันที่ตลาดนัดตรงปากซอยสถานีรถไฟ เดินไปตามรางรถไฟย้อนไปทางถนนใหญ่ บรรยากาศที่สถานีรถไฟหนองคาย และแล้วก็ถึงเวลาอันสมควร ที่รถด่วนพิเศษอีมรรคา ถอยเข้าจอดในชานชาลที่ 2 ที่ซุกหัวนอนของเราในวันนี้ เป็นตู้ Lady Car ไฮไลท์ของรถรุ่นนี้ สัมผัสใหม่แห่งการขี้ "ส้วมสูญญากาศ" ได้ลองแล้วจะรัก ทางเชื่อมแบบบีทีเอสสสส จอแสดงสถานะของขบวนรถ พร้อมกล้องวงจรปิด ประตูแบบ Auto Door ประตูด้านข้าง 2 ฝั่ง เป็นประตูห้องน้ำ สามารถดูสถานะการใช้ห้องน้ำได้ที่จอด้านในตัวรถ บรรยากาศภายในห้องน้ำ ถังขยะ ที่พักพนักงานประจำขบวนรถ ชะแว๊บไปดู 1st Class รถนั่งและนอนปรับอากาศชั้น 1 ตู้เสบียง สำหรับคะแนนอาหารบนรถไฟนั่น ส่วนตัวชอบแบบเดิมมากกว่าที่ครับร้อนมาปรุงบนรถเลย เพราะมีอาหารหลากหลาย แต่ปัจจุบันกลายเป็นอาหารกล่องเข้าเวฟ ซึ่งยังมีให้เลือกไม่มาก ราคาสูงลิบ ๆ กินอิ่มนอนหลับ ราตรีสวัสดิ์ ณ. ท้องทุ่งรังสิต ที่นี่สถานีรังสิต ที่นี่สถานีรังสิต ผู้โดยสารจะลงสถานีรังสิตตรวจสอบสิ่งของสัมภาระของท่านก่อนลงจากขบวนรถให้เป็นที่เรียบร้อยค่ะ 04.40 น. เฮ้ยยยยยย แบบว่า ถึงก่อนเวลานะเออ ตามเวลาต้องถึงรังสิต 04.49 น. เรียกได้ว่าเป็นครั้งที่สองที่นั่งรถไฟแล้วถึงก่อนเวลา ก่อนหน้านี้นั่ง ข.4 ศิลาอาสถ์-กรุงเทพ ถึงก่อนเวลาตั้ง 15 นาที พูดอย่างภาคภูมิใจ สรุปการเดินทางในครั้งนี้ ไม่ขอพูดเรื่องค่าใช่จ่ายนะคะ จำไม่ได้จ่ายอย่างเดียวเลย ฮืออออ TT ในเรื่องของสถานีที่ท่องเที่ยวสำหรับเรายังไม่ได้สวยงามมากสักเท่าไหร่ เราว่าไทยสวยและหลากหลายมากกว่า แต่ที่เราชอบและประทับใจมากนั้น คือวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ที่เราไม่เคยเจอ ต้องขอออกปากชมเลยว่า สปป.ลาว นั้นเป็นเมืองที่มีน้ำใจไมตรีมาก ๆ ขนาดไม่รู้จักกันยังช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือการไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวมากจนเกินไป เราพึ่งเข้าใจคำว่า "บ้านพี่เมืองน้อง" ในการไปลาวในครั้งนี้ ถ้าถามว่ายังอยากไปอีกครั้งไหม? ก็คงตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่า "แน่นอน" สุดท้าย อยากบอกว่าไม่ว่าจะมีรีวิวอีกกี่ร้อยเรื่อง ก็ไม่เท่ากับคุณไปลองพบเจอด้วยตัวคุณเอง (ถึงแม้เงินในกระเป๋าจะไม่เป็นใจ) หวังว่ารีวิวครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับคนที่หาข้อมูลในการไปวังเวียง สวีดัด ส วั ส ดี 😁😁