เที่ยวเขมร ต้องไปให้ได้สักครั้งก่อนตาย ประสบครั้งแรกในชีวิตสำหรับการเดินทางพาเด็กสามคนไปต่างประเทศไม่ได้ไปกับกรุ๊ปทัวร์เป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราคือประเทศกัมพูชา รึคนไทยเรียกว่า เขมร ครั้งนี้เราเดินทางด้วยกันสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มของเราเดินทางด้วยกัน 8 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 3 คน เข้าทางด่านปอยเปต กลุ่มที่สอง เดินทางด้วยกัน 3 คน เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด เข้าทางช่องสะงำนัดกันว่าจะไปเจอกันที่พักเลยที่เดียว พวกเราคือกลุ่มที่เข้าทางด่านปอยเปต ลากกระเป๋ากันเข้าด่านไปความรู้สึกทำไมเข้าง่ายจังเลยแต่ช่วงเวลาที่กำลังจะผ่านหน้าด่านระหว่างรอ ตม.กัมพูชา ตรวจเอกสารก็ได้เจอพี่คนไทยที่เข้ามาเที่ยวในประเทศกัมพูชาแต่พี่เค้ามากับคนกัมพูชา เค้าเลยถามว่าเราเดินทางยังไง เราบอกได้นัดรถมินิบัสเพื่อจะเข้ามารับเพราะติดต่อกันไว้แล้ว แต่เราต้องนั่งรถประจำทางเข้าไป บขส.อยู่ห่างจากหน้าด่านประมาณ 9 กม. ซึ่งพี่เค้ากลัวว่าเราจะโดนหลอกพาไปทิ้ง!! พี่เค้าเลยรอจนกว่าเราจะมีรถมารับเพราะเรามีแต่เด็กๆ พี่เค้าเลยเป็นห่วง ระหว่างที่รอหน้าด่านเราต้องคอยระวังเด็กที่มาขอทาน เค้าจะมายืนจ้องหน้าห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เด็ก ๆ กลัวจนร้องไห้อยากกลับบ้าน สุดท้ายเรื่องจบด้วยดีรถมารับหน้าด่านอย่างปลอดภัย เราใช้เวลาเดินทางไปเสียมราฐ (เสียบเรียบ) 3 ซม.ถึงที่พักอย่างปลอดภัยเช็คอินเข้าที่พักชื่อ Heart Language Angkor ตามลิงค์นี้ได้เลย https://goo.gl/maps/xfFTYcGYCYoq1a2t9 ค่าห้องพักคืนละ 800 บาท พักที่นี่ 2 คืน ที่พักมีสระว่ายน้ำ มีอาหารเช้าให้เค้าจะเตรียมให้เราตอนเช้าก่อนไปนครวัดในชุดจะมีไข่ต้ม ขนมปัง แยมสำหรับทาขนมปัง ช่วงเย็นเรายังพอมีเวลาเหลือตกลงกันว่าอยากไปดูโชว์นางอัปสราคนขับรถเลยพาเราไปซื้อตั๋วกันก่อน เค้าจะให้จองโต๊ะไว้ให้เราเลือกโต๊ะเรียบร้อยก็จ่ายค่าดูโชว์คนละ 12 ดอลลาร์ สำหรับเด็ก ๆ ฟรี ราคานี้รวมค่าอาหารแบบบุฟเฟ่แต่ไม่รวมเครื่องดื่ม การแสดงจะเริ่มตอนทุ่มตรง เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่พนมบาเค็ง แต่เราต้องไปซื้อตั๋วเข้าประสาทนครวัด นครธม ก่อน เราได้คุยกับเจ้าหน้าที่แล้วเราน่าจะไปไม่ทัน เลยซื้อตั๋วเพื่อเข้าประสาทสำหรับวันพรุ่งนี้ ถ้าเราไม่ซื้อต้องแหกขี้ตาตื่นมารอเข้าคิวตอนเช้าเค้าจะเปิดขายตอนตีห้า การซื้อบัตรหรือตั๋วเข้าชมที่นี่ต้องมาซื้อด้วยตัวเองนะค่ะ เพราะเค้าจะถ่ายรูปเป็นรายบุคคลแล้วติดในบัตรเข้าชมปราสาทด้วย ต้องเก็บติดตัวไว้ตลอดเจ้าหน้าที่จะขอดูเป็นจุด ๆ ห้ามหายนะจ๊ะ ค่าใช้จ่ายคนละ 37 ดอลลาร์ สำหรับเข้าชมวันเดียว ซื้อตั๋วเสร็จแล้วหาที่เที่ยวใกล้ๆ กันต่อเลยไปแวะวัด วัดอะไรจำชื่อไม่ได้ที่เป็นทางผ่านกลับโรงแรม สองข้างทางเราจะเห็นร้านขายผลไม้คนขับบอกเราว่าผลไม้ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศไทยเพราะประเทศกัมพูชา 80% มีอาชีพทำนา ลืมบอกไปคนขับรถเคยไปทำงานอยู่ประเทศไทยเป็น 10 ปี พูดภาษาไทยค่อยข้างชัด ได้เวลาไปดูระบำนางอัปสรา ไปถึงเราก็เดินไปตักอาหารสำหรับมาทานที่โต๊ะกัน ที่นี่จะจัดอาหารเป็นแบบบุฟเฟ่ของกินเยอะมากหลากหลายจะเน้นปลาหลากหลายเมนู อาหารนานาชาติ แต่รสชาติอาหารจะออกหวานไปนิด ระบำจะแสดงให้เห็นการใช้ชีวิตการจีบกันของหนุ่มสาวรวม วัฒนธรรมของขอม ระบำเมขลา เรื่องราวในตำนานของมหากาพย์ฮินดู “รามายณะ” ด้วย ระหว่างที่กินก็ชมการแสดงไปได้อรรถรส ที่ขาดไม่ได้ซึ่งเป็นย่านสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนสุดฮิต มีทั้งร้านอาหารนานาชาติ ร้านขายของฝาก ซุ้มน้ำผลไม้ปั่นเยอะมาก นั่นคือ ผับสตรีท ย่านนี้เราเดินเจอการโชว์การต่อยมวยจะมีพิธีกรหลักอยู่บนตึกชั้นสองพูดท้าทายนักท่องเที่ยวให้ขึ้นมาชกกันนักมวยร่างกล้ามปู จะมีพิธีกรภาคสนามอีกคนคอยเชิญชวนนักท่องให้เข้ามาดูการแสดงรึเข้ามาชกกับนักมวยของพวกเค้า ยังมีการแสดงโชว์เต้นกลุ่มนักเต้นในร้านอาหารมาเชิญชวนให้ไปชมการแสดงแบบเต็ม ๆ ที่ร้านอาหารของพวกเค้า ที่ขาดไม่ได้บนถนนเส้นนี้ขายพวกสัตว์ทอดเสียบไม้ขายใส่อยู่ในถาดก็จะมีพวกแมลง แมลงป่อง ตัวบึ้งหรือแมลงมุมยักษ์ งู กบ เขียด หนอนทอด อันนี้ไม่กล้าลองปกติจะกินแค่หนอนทอด แต่ก็มีนักท่องเที่ยวลองชิมแล้วบอกเราว่ารสชาติมัน ๆ อันนี้เราขอบาย ตลอดทางเดินจะมีพนักงานของร้านน้ำผลไม้ปั่น ร้านไอติมผัด มาเรียกแขกให้ซื้อน้ำผลไม้ปั่นเลยลองกินเมนูอโวคาโด้ปั่นราคา 1 ดอลลาร์ หรือประมาณ 35 บาทไทย ที่นี่บางร้านเราสามารถจะใช้เงินไทยได้นะค่ะ แต่จะเปรียบเทียบว่าน้ำปั่นเค้าจะคิดเราเป็นดอลลาร์ แต่ถ้าเป็นเงินบาทไทยจะคิด 40 บาท ถ้าใช้เงินไทยจะแพงกว่าดอลลาร์นั้นเอง แต่ถ้าเราต้องจ่ายเงินดอลลาร์แล้วมีเศษที่ต้องทอนเค้าจะทอนเป็นเงินเรียลของประเทศกัมพูชา ก่อนเราจะแยกกับคนขับรถก็แนะนำเราว่าไม่ควรเก็บของมีค่าไว้ที่โรงแรมเพราะมันไม่ค่อยปลอดภัย เวลากลางคืนเราจะได้ยินเสียงเท้า ได้ยินเสียงหมุนลูกบิดประตูห้องพัก โดยเฉพาะเรามากับเด็กต้องระวังเป็นพิเศษคาดสายตาไม่ได้เลยทีเดียว เช้านี้ตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าขนาดไปเช้ายังเข้าไปไม่ติดแถวหน้านั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นหลังปราสาทนครวัด ก็ไม่ขึ้นสักทีคนก็เริ่มเดินออกจนเหลือวิวสวยให้เราถ่ายรูปกัน แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยงามมาก หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเราต้องออกไปทานข้าวนอกบริเวณปราสาท ทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วเรากลับเข้ามาชมปราสาท บอกก่อนเลยว่าทางเดินมาปราสาทค่อนข้างไกลช่วงสาย ๆ อากาศเริ่มร้อนเราควรทาครีมกันแดด แว่นตา หมวก ร่ม อุปกรณ์สำหรับกันแดดมาด้วย ระหว่างทางเดินเข้ามาเราเดินผ่านสะพานเชื่อมปราสาทไม่ได้เพราะกำลังปรับปรุงเราต้องเดินผ่านทุ่นลอยน้ำแทน แต่พอเดินเข้าไปในปราสาทอากาศจะไม่ร้อนลมพัดเย็นสบายทางเดินจะเชื่อมต่อกันไม่ร้อน จะมีรูปปั้นเทวรูปอยู่เป็นจุด ๆ ระหว่างในปราสาท ภาพในปราสาทจะมีภาพแกะสลักนูนต่ำตามฝาผนังจำนวนมาก จะมีปรางปราสาททั้งหมด 5 ยอดแล้วที่จะขาดไม่คงเป็นภาพของนางอัปสรา ที่อยู่ในท่าทางกริยาบทต่าง ๆ ซึ่งแตกแต่งกันไป ปราสาทแห่งนี้คงใช้จำนวนคนไม่น้อยในการสร้างคงใช้เวลายาวนานจนกว่าปราสาทจะเสร็จ เราเดินแยกตัวไปทางปราสาทปีกทางขวาไปเจอที่มีรูปปั้นเทวรูป พระพุทธรูปตั้งอยู่ เจอพระสองรูปจะนั่งผูกข้อไม้ข้อมือให้กับนักท่องเที่ยวเราเลยเข้าไปทำบุญดูดวงกับพระหลังจากสังเกตุการณ์อยู่พักหนึ่ง ได้เวลาเข้าไปดูดวงกับเค้าบ้าง พระให้ถือใบลานแล้วอธิฐานตั้งใบลานไว้บนหัวแล้วเอาไม้จิ้มเลือกหน้าถ้าเลือกออกมาดีพระจะอ่านคำทำนายก็จะเป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าเคยเจออะไรในสมัยพระพุทธกาลเอามาทำนายตามที่เราอธิฐาน นครวัดที่ควรไปให้ถึงคือยอดบนสุดของประสาทอันนี้เจอพระที่อยู่ด้านล่างบอกมารอคิวยาวมาก จะจำกัดจำนวนคนขึ้นโดยใช้สายคล้องคอ พอเราลงมาเค้าก็จะเอาสายคล้องคอให้คนต่อไป ใช้เวลารอประมาณ 25 นาที แต่เด็ก ๆ ห้ามขึ้นเพราะบันไดชันมาก ตอนลงแอบขาสั่นไม่กล้ามองลงไปข้างล่างเลย บนยอดประสาทมองวิวได้รอบเลยที่เดียว มีลานที่เป็นจุดศูนย์กลางของปราสาท ขึ้นมายืนจุดบนสุดของปราสาทจึงได้รู้ว่าปราสาทนครวัดล้อมรอบด้วยน้ำทั้งสี่ด้านมีทางเข้าแค่สองทางคือด้านหน้าและด้านหลัง สร้างงดงามประณีตสมกับคำที่เค้าได้กล่าวไว้ว่า "ต้องไปให้ได้สักครั้งก่อนตาย" ขอบคุณสำหรับการติดตาม เจอกันใหม่ EP.2 ไปต่อกันที่นครธม เครดิต ภาพและข้อความจากผู้เขียนขาเที่ยวหวานเย็น #ขาเที่ยวหวานเย็น