เราเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่เมื่อมีวันหยุดก็ชอบเดินทางท่องเที่ยว ไปค้นหาประสบการณ์แปลกใหม่ที่เตรียมพุ่งเข้ามามากมาย ทุกการก้าวเดินออกจากกรอบเดิมๆ เราจะได้เรียนรู้ และได้รับความประทับใจ เพื่อนำกลับมาต่อยอดในการใช้ชีวิต วนเวียนไปแบบนี้เลื่อยมา การเดินป่าเป็นการผจนภัยในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเราจะเลือกให้เป็นเส้นทางใหม่เพื่อหาความท้าทายให้ชีวิต ซึ่งสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นในการจุดประกายความคิดให้เรานั่นก็คือ รูปสวยๆ ที่เพื่อนคนนึงได้เดินเขาป่าไปเก็บออกมาแล้วประกาศให้โลกรู้ว่าข้างในแต่ละที่มันสวยมากแค่ไหน เราก็เป็นคนนึงที่ชอบถ่ายรูป และเข้าใจมุมมองของภาพดีว่า ภาพบางภาพไม่สามมารถสื่อออกมาได้หมดเท่ากับเราจะพาตาสองข้างไปเห็นด้วยตัวเอง เราเริ่มจากติดต่อไปหาเพื่อนผู้หญิงสมัยมัธยมคนหนึ่งเพื่อที่จะขอเข้าร่วมทริปเดินป่าง่ายๆ ไม่ลำบากมากเหมาะสำหรับคนเริ่มเดินครั้งแรก เราได้ส่องชีวิตการเดินทางของเค้าคนนี้มาสักระยะ บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เพื่อนบอกเราว่าป่าแรกที่เราจะพาไปเดินคือ เส้นทางสู่น้ำตกทีลอเร ตั้งอยู่ที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งเป็นการร่องเรือยางเข้าสู่น้ำตกในป่าลึก เพื่อซึมซับบรรยากาศเราต้องนอนค้างในป่า 1 คืน แล้วเดินเท้ากลับมายังที่พัก คาดการณ์ว่าจะกลับมาถึงประมาณเย็นๆ ของวันรุ่งขึ้น ระหว่างนี้จะมีทีมงานดูแลพวกเรา คอยพายเรือพาเที่ยว บริการเตรียมอาหารให้ตลอดการเดินทาง ซึ่งค่าใช้จ่ายจะคิดเป็นรายหัว เพื่อนเราจะรวบรวมให้กับหัวหน้าทีมงานตามราคาที่ตกลงกันไว้ แค่คิดที่จะเริ่มเดินก็สนุกแล้ว แต่คิดอีกทีก็ไม่ง่ายเลย เพราะไม่ใช่แค่จิตใจที่โหยหาอยากจะไปพบเจอสิ่งท้าท้าย เรายังต้องเตรียมความพร้อมหลายๆ อย่าง ทั้งร่างกาย ข้อมูลต่างๆ และอุปกรณ์ในการดำรงชีวิตในป่า 1. ศึกษาสถานที่และเส้นทางให้มากที่สุด เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะไปเดินที่ไหน เป็นป่าประเภทอะไร ลักษณะของดินฟ้าอากาศเป็นอย่างไร ความชันของเส้นทางระดับไหนชันมากชันน้อย เพื่อที่เราจะได้เตรียมความพร้อมในการใช้ชีวิตในป่าได้อย่างราบรื่นมากที่สุด แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าเราพร้อมร้อยเปอร์เซ็น เพราะธรรมชาติจะสร้างสรรประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เราอยู่ตลอดเวลาที่สามารถพบเจอได้ในป่าใหญ่ 2. การเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการเดินระยะยาวและชันนั่น เราทำอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ การวิ่งช้าๆ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที และทำท่า deep squat(หรือที่เรียกว่า ท่าลุกนั่ง) ทำวันละ 10 ครั้ง ติดต่อกันก่อนเดินทาง 1 เดือน 3. อุปกรณ์ส่วนตัวในการดำรงชีวิตในป่า ร้องเท้าสำหรับเดินป่า 1 คู่ กระเป๋าเป้ 1 ใบ ชุดเดินป่า 1 ชุด, ชุดนอนที่สะอาด 1 ชุด ชุดพร้อมเปียก 1 ชุด รองเท้าที่แห้งง่าย 1 คู่ ของใช้ส่วนตัว แปลงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่แบบ 3 in 1 ฯลฯ ยาประจำตัว เมื่อเราพร้อมเราก็ออกเดินทางโดยรถตู้ที่เช่าเหมารายวัน เพื่อไปตามที่นัดหมายกันไว้ ระหว่างทางก็มีเหตุการณ์ให้เราได้เห็นถึงความแปลกใหม่ ความตื่นเต้น ความท้าทาย สิ่งที่เรากลัวในจิตใต้สำนึกเรานั่นก็เริ่มที่จะคลายความตรึงเครียดลงไปได้มาก เพราะเราเริ่มสนุกตลอดการเดินทาง ป่าใม้ระหว่างสองข้างลำน้ำที่เราร่องเรือไป มันเป็นเหมือนภาพถ่ายที่มองแล้วไม่น่าเบื่อ น้ำตกที่ทอดเป็นชั้นๆ ไหลลงมาอย่างไม่หยุด เหมือนมีพลังงานให้เราไม่อยากละสายตาเลย ธรรมชาติที่สรรสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อพวกเราร่องเรือจนถึงที่พัก เราก็ได้เริ่มจัดสรรปันส่วน จับจองที่นอน โดยเริ่มที่จะกางเต็น เตรียมอาบน้ำเพื่อจะได้กินมื้อเย็นที่ทีมงานช่วยกันทำ พอถึงเวลาพวกก็มานั่งล้อมอาหารที่ตั้งอยู่ในพื่นที่ส่วนกลาง โดยมีกองไฟเพิ่มความอุ่นให้ร่างกายที่อยู่กลางป่ายามค่ำคืนให้คลายความเย็นลง ระหว่างการกินข้าว อาหารที่เตรีมไว้เป็นอาหารบ้านๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่รสชาติมันอร่อยมาก มีอยู่เมนูนึงที่ประทับใจเรามากนั่นก็คือ แกงบวชฝักทองที่ใส่กระทิอุ่นๆ จากกระบอกไม้ไผ่ ทั้งมัน หอม หวาน อร่อยมาก เป็นที่เรื่องลือกันในกลุ่มของเรา หลังจากนั้นเราก็มีการสนทนากันอย่างครึกครื้นกันเป็นเวลาพอสมควรก็ได้แยกย้ายไปนอนในที่ของตนเอง เช้ามืดเราเริ่มได้ยินเสียงทีมงานเริ่มเตรียมก่อไฟตั้งน้ำร้อนเตรียมให้เราได้ดื่ม กาแฟ ชา และโอวัลติน กันในตอนเช้า ระหว่างนั้นก็เตรียมเป็นพ่อครัวหัวป่าเพื่อกินในมื้อเช้าก่อนออกเดินทาง และยังต้องเตรียมสะเบียงให้พวกเราไปกินระหว่างเดินเท้าออกมาในตอนเที่ยงซึ่งไม่รู้ว่าจะได้หยุดกินที่จุดไหน เมื่อเรากินข้าวเช้ากันเรียบร้อยก็ทะยอยกันเก็บสัมภาระ ไปไว้จุดกลางเพื่อให้ทีมงานเตรียมขนออกจากป่า ซึ่งจุดพีคตอนนี้คือ มีช้างที่จะคอยช่วยขนเรือยางและสัมภาระต่างๆ ช้างที่เราเห็นมีด้วยกัน 2 เชือก เราแอบขอขึ้นไปนั่งก่อนที่ทีมงานจะเริ่มขนของขึ้นหลังช้าง ก่อนออกเดินทางทีมงานได้เตรียมน้ำให้พวกเราถือติดตัวไปคนละ 2 ขวดเพื่อใช้กินระหว่างทาง แล้วหัวหน้าทีมก็ได้สั่งให้ช้างและคนดูแลช้างออกเดินทางไปก่อน เรามองออกไปข้างหน้ามันทั้งชัน และมีหญ้าปกคลุมจนไม่เห็นเป็นทาง หัวหน้าบอกว่าทางชันมีระยะประมาณ 500 เมตร ซึ่งเป็นทางที่มีพื้นดินที่ชื้นและเละ เนื่องจากมีฝนตกเล็กน้อยตอนกลางคืนและเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มากตอนนั้น แต่ช้างที่ออกเดินไปก่อนก็ช่วยสร้างรอยเท้าให้พวกเราเหยียบเป็นขั้นบันไดเล็กๆ ทำให้พวกเราเดินตามขึ้นไปไม่ยากมาก แต่จะมีแค่บางช่วงที่เราเดินมาได้สักระยะแล้วขาเริ่มล้าแต่เราก็แค่หยุดเดินพักสัก 1 นาที เราก็สามารถเดินต่อไปได้ เป็นการสู้ที่จิตใจเราเอง ทำให้เราเดินไปถึงยอดได้ หลังจากนั้นทางเดินก็ง่ายขึ้นเนื่องจากไม่มีทางชัน แต่จะเป็นทางปกติสลับกับลำธารเล็กๆ บางแห่งมีน้ำขึ้นสูง เราต้องเดินลุยน้ำข้ามกันไป ในกลุ่มเราก็ช่วยเหลือกันดี ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ค้างหลัง พอใกล้เที่ยงหัวหน้าทีมก็ให้เราเดินไปพักที่รำธารแห่งหนึ่งที่มีน้ำไม่มากนัก พอที่ใหเราหยุดเล่นน้ำ และพักให้ลูกทีมเตรียมความพร้อมและจัดสถานที่ทานมื้อเที่ยงกัน หลังจากนั้นเราก็เดินไปตามทาง โดยมีระยะห่างขอกลุ่มคนที่ฝีเท้าพอๆ กันเดินร่วมกันเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีทีมงานประกบคอยดูแล นำทาง และช่วยเหลือตลอดทางที่เดิน จนถึงทางออกก็มีรถกระบะของทีมงานมารอรับ พาเราไปอาบน้ำและพักผ่อนในที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนนอนพักอีก 1 คืนก่อนเดินทางกลับ ก่อนการเดินทางเรามีความกลัวอยู่ในใจว่าเราจะเดินได้มั้ย ร่างกายที่เตรียมมาจะไหวหรือเปล่า ของที่เราเตรียมมาพอมั้ย แต่พอเราเริ่มเดิน เราก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์จะสอนให้เราพร้อมมากที่สุด เพียงแค่เราข้ามผ่านจุดนั้นมาได้ เราก็สามารถสนุกไปกับมัน การเดินป่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ระหว่างทางที่เราเดินนั่นและว่าเราได้พอเจออะไรบ้าง