ผมมีโอกาสได้ฟังเพลงจากซีรีส์เรื่อง "Stranger Things" ก่อนที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร ในครั้งแรกที่ผมได้ฟัง "Stranger Things Theme" ผมไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นเพลงประกอบหนัง และมักพบมันเป็นส่วนหนึ่งของรวมเพลงในแนวดนตรีที่เรียกว่า Synthwave บน Youtube อยู่บ่อย ๆ อาจพูดได้ว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ทำให้ผมสนใจที่จะฟังเพลงแนว Synthwave เลยก็ว่าได้ และต่อมาเมื่อผมมีโอกาสได้ชมซีรีส์เรื่อง "Stranger Things" บน Netflix ผมจึงเข้าใจว่าทำไมผู้สร้างจึงเลือกเอาดนตรีแนวนี้มาใช้เป็นเพลงประกอบของซีรีส์เรื่องนี้ "Stranger Things" เป็นเว็บซีรีส์แนวไซไฟ เขย่าขวัญ ย้อนยุค ยอดนิยมของ Netflix เหตุการณ์ตามท้องเรื่องเริ่มต้นขึ้นในปี 1983 ใน ฮอว์กินส์ เมืองที่สมมุติว่าอยู่ในมลรัฐอินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเรื่องราวการเผชิญปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติของกลุ่มเพื่อนรักวัยเยาว์ 4 คน เมื่อหนึ่งในกลุ่มได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และตามมาด้วยการปรากฏตัวของเด็กหญิงนิรนามผู้มีพลังจิตอันกล้าแข็งที่ถูกเรียกขานว่า "อีเลเว่น" นี่เป็นแก่นแกนหลักของเรื่องราวในซีซั่นแรก ที่ดึงดูดใจให้ผู้ชมไม่อยากละสายตาจากหน้าจอ อยากดูต่อไปให้จบทั้งซีซั่นในคราวเดียวขอบคุณภาพจาก: Netflixเสียงแห่งยุค 80sสำหรับผมแล้ว ดนตรียุคใน 80s ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมความบันเทิงที่ทรงพลังอย่างมาก เสน่ห์สำคัญอย่างหนึ่งจากความทรงจำของคนที่เคยผ่านประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นอย่างผม มันคือความหลากหลายในแนวทางดนตรีที่มีค่อนข้างสูง ศิลปินมากมายสร้างสรรค์ผลงานที่มีความแตกต่างกันในแนวดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ส ร็อค ป็อป ฟังก์ ดิสโก้ หรือแม้แต่อะแคปเปล่า ล้วนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครอบครองอันดับบนชาร์ตเพลงฮิตทรงอิทธิพลของอเมริกาอย่าง Billboard Hot 100 กันอย่างคึกคัก เป็นสีสันของบรรยากาศที่ชวนให้ระลึกนึกถึงวันเวลาในช่วงนั้นอยู่เสมออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดนตรีในยุค 80s มีสีสันที่โดดเด่นแตกต่างจากดนตรีในยุคก่อนหน้านั้น น่าจะมาจากพัฒนาการของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำลังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเดียวกัน มันเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกไปสู่ยุคของดิจิตอล นับเป็นอีกก้าวสำคัญในวิวัฒนาการของเทคโนโลยีดนตรี ซึ่งมีอิเล็กทรอนิกส์เป็นพื้นฐาน นับแต่การถือกำเนิดขึ้นมาของซินธีไซเซอร์ยี่ห้อ Moog เครื่องดนตรีมหัศจรรย์ที่มากับความสามารถในการสร้างเสียงแปลกแหวกจินตนาการ ผลงานการประดิษฐ์ของวิศวกรหนุ่มชาวอเมริกันชื่อ Bob Moog ในปลายยุค 60s ความต้องการในเครื่องดนตรีประเภทซินธีไซเซอร์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงรอยต่อของยุค 70s และ 80s ล้อไปกับความนิยมในดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งดนตรีแนวอื่น ๆ ที่ต้องการสุ้มเสียงในแบบใหม่ ๆ การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกาเป็นไปอย่างดุเดือด การพัฒนาขึ้นมาของผลิตภัณฑ์จากบริษัทผู้ผลิตเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Korg และ Roland เป็นเสมือนตัวเร่งสำคัญ ในช่วงเวลานั้น บริษัทสัญชาติอเมริกันที่เป็นผู้นำในวงการนี้ก็คือ Sequential Circuits และ Oberheim ทั้งสองบริษัทต่างก็มีซินธีไซเซอร์รุ่นที่ได้รับความนิยมจากเหล่าศิลปินดนตรี และถูกนำไปใช้จนเสียงของพวกมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเสียงแห่งยุคสมัยเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากเรียกมันว่า "การเริ่มของยุครุ่งเรืองแห่งเสียงสังเคราะห์" ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ ทำให้ต้นทุนในการผลิตผลงานเพลงนั้นลดลง ศิลปินดนตรีมากมายต่างหยิบจับซินธีไซเซอร์มาใช้ในการสร้างสรรค์งานเพลงของตน นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในเสียงดนตรีที่เป็นแนวทางดั้งเดิมของพวกเขาเหล่านั้น เกิดเป็นเสียงในแบบใหม่ สีสันทางดนตรีใหม่ ๆ หรือแม้แต่เกิดเป็นแนวดนตรีใหม่ขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แนวดนตรีที่มีวัฒนธรรมป๊อปยุค 80s เป็นแรงบันดาลใจในบรรดาศิลปินเหล่านั้น มีกลุ่มศิลปินดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์รุ่นบุกเบิกอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี ที่ได้นำเครื่องดนตรีล้ำสมัยอย่างซินธีไซเซอร์ มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างสรรค์งานดนตรีของตนเอง ผลงานเพลงระดับคลาสสิกของพวกเขามักถูกนำมาใช้ในการศึกษา เพื่อให้เข้าใจถึงวิวัฒนาการของดนตรีสมัยใหม่อยู่เสมอ ตัวอย่างของศิลปินดนตรีในกลุ่มนี้ก็มี Jean-Michel Jarre, Vangelis, วง Tangerine Dream และ John Carpenter สำหรับรายหลังนี่ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักเขาในฐานะของผู้กำกับหนังดังแนวสยองขวัญอย่างเรื่อง Halloween เสียมากกว่า ภายใต้วันเวลาของยุค 80s บางส่วนในพวกเขาเหล่านี้ยังได้มีบทบาทในฐานะผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ ซึ่งผลงานเหล่านั้น ได้กลายมาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญกับศิลปินรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งในอีกเกือบ 30 ปีต่อมา ให้ได้ร่วมกันสร้างสรรค์สาขาใหม่ของดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความหลงใหลในวัฒนธรรมป๊อปของยุค 80s อย่าง ภาพยนตร์ ดนตรี การ์ตูนทีวี หรือแม้แต่เกมอาเขต เป็นพื้นฐานสำคัญ แนวทางดนตรีใหม่นี้ได้ถูกเผยแพร่ เติบโต และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาในฐานะของแนวดนตรีทางเลือก ด้วยความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากอินเทอร์เน็ต จนในที่สุดมันได้กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ Synthwave ในวันนี้ขอบคุณภาพ "วง S U R V I V E [จากซ้ายไปขวา: Adam Jones, Michael Stein, Kyle Dixon, Mark Donica]" จาก: S U R V I V E Official PageMichael Stein และ Kyle Dixon สองสมาชิกคนสำคัญของ S U R V I V E วงดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติอเมริกัน จากเมืองออสติน มลรัฐเท็กซัส พวกเขาเป็นหนึ่งในศิลปินเพลงแนว Synthwave รุ่นแรก ๆ และเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทำให้โลกหันมาสนใจดนตรีแนวนี้อย่างจริงจังมากขึ้นด้วย Kyle Dixon เคยให้นิยามงานเพลงของวง S U R V I V E เอาไว้ว่า มันคือดนตรีบรรเลงแนวอิเล็กทรอนิกส์สายดาร์กRoss และ Matt Duffer หรือที่รู้จักกันในนามของ The Duffer Brothers ผู้สร้างซีรีส์ "Stranger Things" เป็นแฟนเพลงของวง Survive พวกเขาจึงใช้เพลงที่ชื่อว่า "Dirge" ผลงานของวง S U R V I V E เป็นเพลงประกอบของหนังตัวอย่างที่ทำขึ้นเพื่อใช้นำเสนอในการหาทุนสร้างซีรีส์เรื่องนี้ และเมื่อโปรเจคนี้ต้องเริ่มขึ้นจริง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า S U R V I V E เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด สำหรับคนที่จะมารับผิดชอบในเรื่องการทำเพลงประกอบให้กับซีรีส์เรื่องนี้ ดนตรี Synthwave สายดาร์ก กับบรรยากาศลี้ลับ มืดหม่น ของซีรีส์แนวไซไฟ เขย่าขวัญเรื่องนี้ มันช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวหาใดเทียบมนต์เสน่ห์แห่งสำเนียงเสียงแอนะล็อก"Stranger Things Theme" เริ่มต้นมาจากงานเพลงเดโมของวง S U R V I V E ที่ Michael Stein และ Kyle Dixon ทำเก็บเอาไว้ มันได้ถูกนำมาขัดเกลา ปรับเสริมเติมแต่ง โดยผสมผสานความคิดเห็นจากทีมงานผู้สร้างลงไป จนสุดท้ายได้ออกมาเป็นเพลงไตเติ้ลของหนึ่งในซีรีส์ไซไฟ เขย่าขวัญ ที่มีคนติดตามชมมากที่สุด ส่งให้เกิดเป็นกระแสความนิยมในตัวเพลงตามมาอย่างรวดเร็ว เปลี่ยน S U R V I V E จากวงดนตรีโนเนมให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ เจิดจรัสในวงการบันเทิง อย่างที่พวกเขาเองก็คาดไม่ถึงคลิกที่นี่เพื่อฟังเพลง "Stranger Things Theme" บน Youtube"Stranger Things Theme" เป็นเพลงที่มีองค์ประกอบหลักเป็นท่วงทำนองซึ่งเกิดจากเทคนิคการเล่นที่เรียกว่า อาร์เพจจิโอ (Arpeggio) หรือการเล่นตัวโน้ตของคอร์ดวนกลับไปกลับมา เสียงทั้งหมดในเพลงนี้ เกิดจากการผสมผสานกันของเสียงจากซินธีไซเซอร์ที่แตกต่างกันถึง 25 เสียง และทุกเสียงนั้นล้วนมาจากซินธีไซเซอร์รุ่นที่ใช้เทคโนโลยีการกำเนิดเสียงในแบบแอนะล็อก ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันในวงการดนตรีเมื่อกว่า 30 ปีก่อนที่เด่น ๆ ก็มี เสียงหัวใจเต้นที่ทำหน้าที่ให้จังหวะเสมือนกับเป็นเสียงกลองของบทเพลง เสียงนี้มาจากซินธีไซเซอร์ยี่ห้อ Sequential รุ่น Pro-One ส่วนเสียงอาร์เพจจิโอหลักของเพลง มาจากเครื่อง Oberheim SEM Two Voice ยังมีท่วงทำนองของเสียงเบสที่ฟังดุดันของเครื่อง Roland รุ่น SH-2 และเสียงร้องประสาน (Choir) จาก Mellotron คีย์บอร์ดจักรกลไฟฟ้าแห่งยุค 70s ที่ให้กำเนิดเสียงดนตรีโดยการเล่น (Playback) สัญญาณเสียง ซึ่งถูกบันทึกไว้บนเทปแม่เหล็กออกมา มันจัดเป็นหนึ่งในคีย์บอร์ดยอดนิยมของเหล่าวงดนตรีแนวโปรเกรสซีฟร็อครุ่นคลาสสิกเลยทีเดียวขอบคุณภาพ "บางส่วนของคีย์บอร์ดย้อนยุคที่ใช้ในการบันทึกเสียง Stranger Things Theme" จาก: [โปรดดูจากเครดิตภาพท้ายบทความ]Michael Stein และ Kyle Dixon ใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ปรุงแต่งเสียงที่หลงเหลือมาจากอดีตเท่าที่พวกเขาจะหาได้ ในการประพันธ์บทเพลงที่มีความยาวประมาณ 1 นาที ให้บอกเล่าถึงบรรยากาศของความลี้ลับ ชวนสะพรึง ทั้งยังสะท้อนภาพของความกลัวและความหวัง ผ่านเสียงสังเคราะห์อันซับซ้อน เปี่ยมพลัง ที่ถูกออกแบบมาอย่างประณีตบรรจงย้อนเวลาหาอนาคตหลังจากที่ Netflix เผยแพร่ซีรีส์เรื่อง "Stranger Things" ซีซั่นแรกในกลางปี 2016 ความนิยมในเพลงนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเวอร์ชันคัฟเวอร์ของเพลงนี้ถูกทำขึ้นและเผยแพร่บน Youtube โดยศิลปินสมัครเล่นจำนวนมาก เพลงนี้ถูกรวมอยู่ในอัลบั้มซาวด์แทร็คชื่อ "Stranger Things, Vol.1" ที่ออกตามซีรีส์มาในเดือนถัดไปของปีเดียวกัน และต่อมาในปี 2017 เพลงนี้ก็สามารถคว้ารางวัล "Outstanding Original Main Title Theme Music" จากเวที Primetime Emmy Awards ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเวทีออสการ์สำหรับวงการทีวีมาได้สำเร็จน่าจะเรียกได้ว่าความสำเร็จของคนทั้งสอง มีจุดเริ่มต้นมาจากความหลงใหลในวัฒนธรรมและเทคโนโลยีดนตรีย้อนยุค ซึ่งแทบจะถูกลืมเลือนไปโดยคนส่วนใหญ่แล้ว แต่พวกเขากลับทุ่มเทเวลาในชีวิตเพื่อเรียนรู้การทำงานของเครื่องดนตรีจากอดีตเหล่านี้ ฝึกฝนที่จะควบคุมมันจนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญ และสามารถนำมันมาใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะของตัวเองขึ้นมาได้ แล้ววันหนึ่งเมื่อโอกาสมาถึง เมื่อดนตรีที่เคยถูกมองว่าล้าสมัยกลับกลายมาเป็นเทรนด์ของความนิยมอีกครั้ง ความสำเร็จจากความหลงใหลนั้น จึงได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาลเรื่องราวนี้อาจบอกกับเราว่า "ถ้าอยากเห็นอนาคต บางครั้งเราอาจต้องมองย้อนกลับไปในอดีต..."เครดิตภาพ:หน้าปก: "Stranger Things" Official Page"บางส่วนของคีย์บอร์ดย้อนยุคที่ใช้ในการบันทึกเสียง Stranger Things Theme": Buzz Andersen | Wikimedia [desaturated and cropped] ภายใต้ CC BY-SA 2.0, Brandon Daniel | Wikimedia [desaturated and cropped] ภายใต้ CC BY-SA 2.0, Speculos | Wikimedia [desaturated and cropped] ภายใต้ CC BY 3.0อ้างอิง:https://en.wikipedia.org/wiki/Music_of_Stranger_Thingshttps://en.wikipedia.org/wiki/Synthwavehttps://www.kut.org/post/s-u-r-v-i-v-es-stranger-things-spotlight-shines-austins-synthesizer-scenehttps://www.soundonsound.com/techniques/scoring-stranger-things