การเดินทางไปในดินแดนที่ไม่เคยไป ดินแดนที่อยู่แสนไกล มักมาพร้อมกับความตื่นเต้น ท้าทายเสมอ แต่การเดินที่ต้องออกไปเผชิญโลกเพียงคนเดียวตามลำพัง นอกจากความตื่นเต้นท้าทายแล้วยังมี “ความกลัว” ที่โผล่ออกมาเป็นเพื่อนกันได้ตลอดเวลา ความฝันของผู้เขียน ยามเยาว์วัย คงเป็นความฝันที่ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เด็กน้อยผู้อยากออกไปผจญภัยในโลกกว้าง โลกที่เห็นแต่ในหนัง ในละคร ช่างเป็นโลกที่สวยงามน่าค้นหา แต่กระนั้น มันช่างเป็นความฝันที่ไกลแสนไกล สำหรับเด็กบ้านนอกธรรมดาๆ คนหนึ่ง เครดิตภาพจาก pixabayจนในที่สุด วันเวลาผ่านไปความฝันที่มี กลับแรงกล้าขึ้นทุกวันผู้เขียนตัดสินใจจริงจัง ที่จะออกไปเผชิญโลกอันแสนกว้างใหญ่ใบนี้ เมื่อฝันธงในการจะเปลี่ยนความฝัน ให้กลายเป็นความจริง ผู้เขียนเริ่มหาหนทาง จนในที่สุด ผู้เขียนได้รับการแนะนำจากพี่ท่านหนึ่ง ถึงโครงการแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า โครงการ “ออแพร์” นั่นคือ การไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กต่างประเทศ นี้คงเป็นทางเลือกทางเดียว และสิ่งเดียวที่ดูแล้วผู้เขียนจะสามารถทำได้ เพราะด้วยค่าโครงการที่ไม่แพง จนเกินไป และด้วยคุณสมบัติที่ไม่ได้มากมายอะไร ผู้เขียนจึงตัดสินใจทันทีที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ผู้เขียนเตรียมความพร้อมทุกอย่าง จนในทึ่สุดหลังเรียนจบไม่กี่เดือนผู้เขียนก็ได้อาชีพใหม่ อาชีพแรกเป็น “ พี่เลี้ยงเด็ก” ต่างประเทศ กับระยะเวลา 1 ปีเต็มภาพโดยผู้เขียนประเทศที่ผู้เขียนตัดสินใจไป คือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจริงๆ เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ประเทศไหนก็ได้ตามแต่โครงการที่มี และผู้เขียนก็ดีใจที่ได้เลือกไปประเทศนี้ เพราะประเทศนี้ สวย สงบ น่าอยู่ อย่างมากชีวิตการเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เป็นสิ่งที่ไม่ได้ง่ายและไม่ได้ยากจนเกินไป เพราะจริงๆ แล้ว หัวใจของมัน อยู่ที่ “การเตรียมความพร้อม” พร้อมที่จะรับกับเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเด็ก พี่เลี้ยงเด็กบางคนถึงกับถอดใจเมื่อต้องเจอเด็กที่ทั้งแสบซนและดื้อ พี่เลี้ยงเด็กบางคนถึงกับต้องรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านทันที เพราะทนนิสัยพ่อแม่เด็กไม่ไหว และพี่เลี้ยงเด็กบางคนถึงกับต้องร้องไห้ด้วยความคิดถึงบ้าน เพราะทั้งอาหาร อากาศ ภาษา วัฒนธรรม ขบนธรรมเนียมประเพณี มันช่างต่างกับบ้านเราซะเหลือเกิน เครดิตภาพจาก pixabayแต่ในทางกลับกันพี่เลี้ยงเด็กบางคนก็สุดแสนจะโชคดี ที่ได้เจอได้อยู่กับครอบครัวที่น่ารัก เด็กก็นิสัยดี จนทำให้พี่เลี้ยงหลายๆ คนชอบและรักชีวิตการเป็นพี่เลี้ยงไปโดยปริยายส่วนตัวผู้เขียนเอง ถือว่าโชคดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ครอบครัวที่ผู้เขียนได้ไปอยู่ด้วย ดูแลเอาใจใส่ผู้เขียนเป็นอย่างดีติดอยู่แค่เรื่องของภาษา เพราะเด็ก ๆ ไม่สามารถพูดและสือสารภาษาอังกฤษได้เลย แต่ดีที่ก่อนเดินทางไปที่นั้น ผู้เขียนได้มีการอบรมเรื่องภาษาดัตช์เบื้องต้นไว้ เลยพอที่จะสื่อสารได้บ้างผู้เขียนต้องดูแลน้อง 2 คน น้องผู้ชายอายุ 5 ปีและ น้องผู้หญิงอายุ 6 เดือน ตารางการทำงานของผู้เขียน คือ วันจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 6 ชม เช้า 3 ชม. ช่วงเย็น 3 ชม.ภาพโดยผู้เขียนส่วนเสาร์อาทิตย์ก็เป็นวันหยุดพักผ่อน พี่เลี้ยงก็มีเวลาเต็มที่ในการเที่ยว หรือ การเรียน เพราะทางโครงการมีข้อบังคับให้พี่เลี้ยงทุกคนที่เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสได้เรียน ซึ่งทางครอบครัวเด็กที่เราดูแล จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องค่าเรียนให้ทั้งหมด ส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้ลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม ในวันธรรมดาหลังเลิกงานแทน เพื่อที่เสาร์อาทิตย์จะได้มีเวลาว่าง เที่ยวได้เอย่างเต็มที่ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยวทั้งในประเทศเองและต่างประเทศกับเพื่อนๆพี่เลี้ยงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น อิตาลี ฝรั่งเศล เบลเยี่ยม เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ และอื่นๆ มากมายจริงๆ แล้ว รายได้จากการเป็นพี่เลี้ยงไม่ได้มากมายอะไร ผู้เขียนยังจำได้ ค่าจ้างที่ได้รับ คือ 340 ยูโร เมื่อเทียบเป็นเงินไทยก็ประมาณ 13,000 บาท แน่นอนคะว่าไม่ได้เยอะ แต่เมื่อเทียบกับการไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก ค่าอาหาร ก็อยู่ได้สบาย เงินที่ได้รับอาจไม่ได้เยอะก็จริง แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้รับ มันมีมูลค่ามากมายหลายเท่านัก ภาพโดยผู้เขียนจะว่าไปตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีมาก ผู้เขียนยังจำความรู้สึกและอารมณ์ ณ. ตอนที่อยู่ที่นั้นได้ดีเสมอ การที่เราต้องไปอยู่บ้านเดียวกันกับครอบครัวที่เราไม่รู้จักมาก่อน ดูแลเด็กที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ต้องมาทานอาหารที่เราไม่เคยทานมาก่อน ต้องมาทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน ต้องไปในที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อน ต้องมาเจออากาศหนาวเย็นที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ที่สำคัญ เราต้องมาเจอ อารมณ์ ความรู้สึก ที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน ความเหงา ความเศร้า ความคิดถึง ความเหนื่อย ความท้อ ความตื่นเต้น ความสนุก รอยยิ้ม และน้ำตา มันช่างเป็นประสบการณ์ที่มีค่า ที่ผู้เขียนได้มันมา โดยการแลกกับ “ความฝันแรงกล้า” ที่มีในวันนั้นเครดิตภาพหน้าปกจาก pixabay