อาการ "ท้องผูก" นั้นไม่ใช่สิ่งปกติที่ควรจะเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา เพราะคนเรานั้นควรจะมีการขับถ่ายที่ตรงเวลาทุกวันโดยปกติก็ควรถ่ายวันละหนึ่งครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นไม่ว่าใครก็น่าจะเคยมีประสบการณ์การท้องผูกกันมาบ้าง ท้องผูก คืออะไร อาการท้องผูกก็คืออาการที่ถ่ายไม่ออกหรือไม่ถ่ายติดต่อกันมามากกว่า 3 วัน เวลาเข้าห้องน้ำก็ไม่มีความรู้สึกว่าอยากถ่าย หรือหากคิดเป็นในหนึ่งสัปดาห์ ถ้าถ่ายเองได้ไม่เกิน 3 ครั้งก็เรียกว่าท้องผูก อาการท้องผูกของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป บางคนก็อาจจะมีอาการปวดเบ่งเวลาถ่าย รู้สึกถ่ายไม่สุด ลักษณะอุจจาระที่ออกมามีลักษณะแข็ง แห้ง มีขนาดเล็ก ยิ่งท้องผูกเรื้อรังนานมาก ๆ อุจจาระก็จะกลายป็นก้อน ๆ คล้ายอึกระต่าย และบางคนก็ถึงกับไม่สามารถถ่ายเองไม่ได้ถ้าไม่ใช้ยาระบายช่วย และหากมีอาการท้องผูกต่อเนื่องกันนาน ๆ มากกว่า 3 เดือน ก็จะเรียกว่าท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้มีภาวะอื่นตามมา เช่น เป็นริดสีดวงทวารหนักได้ ภาพจาก freepik ท้องผูกเกิดจากอะไรได้บ้าง จริง ๆ แล้วอาการท้องผูกสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุมาก ไม่ว่าจะเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเราเอง พฤติกรรมการขับถ่ายที่ไม่เป็นเวลา การใช้ยาบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ภาวะโรคบางอย่าง หรืออาจเกิดได้จากหลายสาเหตุร่วมกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นหากท่านกำลังมีภาวะท้องผูกอยู่ ผู้เขียนไม่แนะนำให้ท่านทำการวินิจฉัยและสรุปสาเหตุของอาการท้องผูกของตัวเอง โดยเฉพาะยิ่งในคนที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไปค่ะ ภาพจาก pexels ยาระบายรักษาท้องผูก ปัจจุบันมียาระบายมากมายหลายชนิดและหลากหลายรูปแบบที่มีจำหน่ายในร้านขายยา ตัวอย่างเช่น ยาที่ช่วยเพิ่มกากใยในลำใส้ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้แล้วทำให้เกิดการขับถ่าย ยาที่ช่วยดูดน้ำเข้ามาในลำไส้ ยาที่ช่วยลดแรงตึงผิวของอุจจาระโดยการดูดน้ำและไขมันเข้ามาในอุจจาระ ยาที่กระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของลำไส้โดยตรง รูปแบบยาจะมีทั้งยารับประทาน เป็นยาเม็ด ยาน้ำ ยาที่ต้องผสมน้ำก่อนรับประทาน ยาสวน ยาเหน็บทวาร ซึ่งยาแต่ละตัวก็จะมีข้อดีและข้อห้ามใช้ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นหากต้องการใช้ยาช่วยระบายก็ควรจะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอรับคำแนะนำที่ถูกต้องก่อนทุกครั้ง ภาพจาก freepik การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการท้องผูก 1) การรับประทานอาหารกากใยสูง การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงจะเป็นการช่วยเพิ่มกากใยในอุจจาระและลดการจับตัวของอุจจาระเป็นก้อนแข็ง ซึ่งหลายคนมักจะเข้าใจว่าหากท้องผูกจะต้องรับประทานผักมาก ๆ แต่ในความเป็นจริงนั้นธัญพืชบางชนิดกลับให้เส้นใยมากกว่าผักเสียอีก ตัวอย่างเช่น ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้ปริมาณเส้นใยสูงถึง 12.3 กรัม ขณะที่ผักบุ้ง 100 กรัม ให้ปริมาณเส้นใยอาหารเพียง 1.1 กรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าหากต้องการให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น เราควรจะรับประทานอาหารให้ได้ปริมาณเส้นใยโดยรวมแล้วอย่างน้อยวันละ 30 กรัมค่ะ ตัวอย่างอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ดอกสะเดา พริกหวาน หอมหัวใหญ่ มะเขือพวง ถั่วเหลือง ชะพลู กระเจี๊ยบมอญ ถั่วแดง ใบยอ ธัญพืชต่าง ๆ ผักและ ผลไม้บางชนิด ดังนั้น นอกจากการรับประทานผักเป็นปริมาณมาก เราก็อาจจะรับประทานอาหารจำพวกธัญพืชเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณกากใยในระบบทางเดินอาหารได้เช่นกัน ภาพจาก freepik 2) การออกกำลังกาย หากต้องการออกกำลังกายเพื่อช่วยในเรื่องอาการท้องผูก ก็ควรออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งหากใครที่พบว่าตัวเองมีอาการท้องผูกบ่อย แล้วไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวหรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็ให้ลองมาออกกำลังกายดูบ้าง จะช่วยลดอาการท้องผูกได้ค่ะ ภาพจาก pexels 3) การดื่มน้ำ หลายคนจะเข้าใจว่าการดื่มน้ำปริมาณมากจะช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้น แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่า หากเราเป็นคนที่ดื่มน้ำเยอะอยู่แล้ว แม้ว่าจะดื่มน้ำเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ลิตรต่อวันก็ไม่มีผลในการลดอาการท้องผูกแต่อย่างใด การดื่มน้ำเพิ่มขึ้นจะได้ผลชัดเจนเฉพาะในผู้ที่ดื่มน้ำน้อยกว่าวันละ 500 มิลลิลิตร หรือในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำเท่านั้น ซึ่งแสดงว่าหากเรามีอาการท้องผูก ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น เพียงแต่จะต้องดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันเท่านั้นค่ะ ภาพจาก freepik อาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์ แต่ถ้าหากท่านมีอาการท้องผูกร่วมกับอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ เช่น ถ่ายเป็นเลือดสด ถ่ายเป็นสีดำ คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็งทวารหนัก หรือมีอาการท้องผูกรุนแรงต่อเนื่องและไม่สามารถถ่ายได้แม้ว่าจะรับประทานยาระบายแล้ว ก็ควรที่จะไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุและหาทางรักษาต่อไปค่ะ ภาพจาก pexels และเมื่อหายจากอาการท้องผูกแล้ว เราก็ต้องหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาในทุก ๆ วัน การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงอย่างสม่ำเสมอ การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องประสบปัญหาภาวะท้องผูก และจะได้ไม่ต้องพึงพายาระบายอีกต่อไปค่ะ