เป็นเกมที่ทำท่าจะแบ่งแต้มกันไปแต่สุดท้ายโชคชะตาพาซวยให้เอฟเวอร์ตันไม่มีแต้ม ทำให้สถานการณ์ของเอฟเวอร์ตันยังคงอันตรายอยู่ หลังจากที่แพ้ให้กับบอร์นมัธไป 2-1 โดยบอร์นมัธขึ้นนำก่อนจาก โดมินิค โซลันกี้ เอฟเวอร์ตันมาตามตีเสมอได้จากจังหวะส้มหล่นของเบโต้ และเอฟเวอร์ตันก็มาเสียประตูจากจังหวะการทำเข้าประตูตัวเองของเซมุส โคลแมน ส่งผลให้เอฟเวอร์ตันยังอยู่อันดับที่ 16 มี 25 คะแนน ห่างจากโซนตกชั้นอยู่เพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น ส่วนบอร์นมัธอยู่อันดับที่ 13 ยังคงปลอดภัยอยู่เหมือนเดิมมีเหตุการณ์อะไรน่าสนใจบ้าง มาดูกันเหตุการณ์ที่ 1: เกมที่ตื้อตึงจากทั้งสองฝั่งเป็นช่วงที่เอฟเวอร์ตันต้องการแต้มอย่างมาก ทุกแต้มมีค่าสำหรับทีมในตอนนี้ ทั้งผลกระทบจากการโดนตัดแต้มจากการผิดกฎการด้านเงิน และในบางเกมที่ควรชนะกลับไม่ชนะ ทำให้สถานการณ์ของเอฟเวอร์ตันตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเกมนี้เหมือนเต็มไปด้วยความกดดัน ทั้งฝั่งบอร์นมัธที่ก็เล่นแบบระมัดระวังกับเกมรุกของเอฟเวอร์ตันที่มักจะบุกได้น่ากลัว แต่สุดท้ายก็ขาดความเฉียบคมกันไปทั้งสองฝั่งในช่วงครึ่งแรก พอเริ่มมีสกอร์เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลัง ทั้งสองทีมก็เริ่มเล่นแบบรักษาสกอร์เพื่อยื้อให้ผลประโยชน์อยู่ที่ฝั่งตัวเองมากที่สุด แต่สุดท้ายก็เป็นบอร์นมัธที่สามารถคว้า 3 คะแนนไปได้สำเร็จเหตุการณ์ที่ 2: ปัญหาความคมของแนวรุกยังสร้างความเสี่ยงให้ทีมต่อไปเรื่อยๆตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ไม่แพ้กับอันดับของทีมในตอนนี้คือแนวรุกของทีมที่ยังคงขาดความเฉียบคมและจังหวะจบสกอร์ที่แน่นอน โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ที่เป็นหัวใจหลักในแนวรุกของทีมก็ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มที่ใช้ได้ของตัวเองกลับมาได้ เบโต้ที่่อุตส่าห์ซื้อมาใหม่ก็ยังไม่สามารถช่วยทีมได้เต็มที่ ดไวท์ แมคนีล อับดุลลาย ดูกูเร่ หรืออมาดู โอนาน่าที่เคยเป็นโจ๊กเกอร์ในบางเกมก็ไม่สามารถโชว์พลังฮีโร่ให้กับทีมได้ในยามวิกฤต จนแล้วจนรอด ปัญหามันก็สะสมมาเรื่อยๆจนถึงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้ กับจำนวนนัดที่เหลือเพียง 9 นัดเท่านั้น ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะก็ เกมที่เหลือหลังจากนี้จะยากขึ้นและส่งผลให้เอฟเวอร์ตันต้องพบกับจุดจบที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ "การตกชั้นอย่างเป็นทางการ"เหตุการณ์ที่ 3: เมื่อการเล่นแบบเน้นผลสกอร์กลายเป็นดาบสองคม หลายคนอาจเห็นด้วยกับการเล่นแบบเน้นผลสกอร์แต่ละเกมเป็นหลัก การชนะด้วย 1-0 หรือ 2-0 มันก็เทียบเท่ากับการชนะระดับ 6-0 7-0 เพราะได้ 3 คะแนนเช่นกัน แต่แท้จริงแล้วการเล่นเน้นผลสกอร์นั้น กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อทีมคุณไม่สามารถผลิตสกอร์และรักษาเกมรับให้มีประสิทธิภาพ ดังเช่นเอฟเวอร์ตันที่กำลังเผชิญหน้าผลลัพธ์แบบนี้อยู่ในตอนนี้ การที่ทีมไม่สามารถสร้างสกอร์ได้และประสิทธิภาพเกมรับยังคงไม่สามารถป้องกันการเสียประตูได้ ยิ่งตอกย้ำว่าแผนนี้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ฌอน ไดซ์ จำเป็นต้องงัดทุกกระบวนท่า ทุกแผนการ เพื่องัดเอาฟอร์มที่ดีที่สุดของทีมออกมา ให้สามารถเก็บแต้มในจำนวนเกมที่เหลืออยู่ให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้ทีมรอดตกชั้นได้สำเร็จ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้เหตุการณ์ที่ 4: โซลันกี้ ความหวังในแนวรุกของบอร์นมัธตัวจริงแนวรุกที่ตอนนี้ไว้ใจได้มากที่สุดของบอร์นมัธ ก็มีโดมินิค โซลันกี้ที่สามารถงัดฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งบนพรีเมียร์ลีก ยิงทะลุสองหลักได้ครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก แม้ฟอร์มเขาตั้งแต่ย้ายทีมช่วงแรกจะไม่ดีแค่ไหน แต่แฟนบอลก็ยังคงเชื่อมั่นให้กำลังใจเขาเสมอมา และในปีที่บอร์นมัธตกชั้น เขาก็ยังอยู่ช่วยทีมจนสามารถพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาได้สำเร็จอีกครั้ง เขาไม่ทิ้งทีมในวันที่ตกต่ำแถมยังสามารถช่วยทีมให้ขึ้นมาได้อีกครั้ง ไม่แปลกใจแล้วที่แม้เขาจะไม่ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำก็ตาม แต่ก็ยังคงเป็นคนสำคัญของทีมเสมอมา เหตุการณ์ที่ 5: อันโดนี่ อิราโอล่า กุนซือผู้พลิกชะตาบอร์นมัธให้รอดปลอดภัยกุนซือชาวสเปนวัย 41 ปี ผู้เป็นหน้าใหม่ของพรีเมียร์ลีกคนนี้ ต้องมารับงานต่อจาก แกรี่ โอนีล ที่ตัดสินใจย้ายไปคุมทีมวูล์ฟแฮมป์ตันในฤดูกาลนี้ แม้ช่วงต้นฤดูกาลเขาจะพาทีมเก็บชัยชนะไม่ได้ติดต่อกันถึง 9 นัด แต่เขาก็ยังได้รับความไว้วางใจจากแฟนบอลและบอร์ดบริหารให้คุมทีมต่อ และเขาก็ทำเซอร์ไพรซ์ด้วยการบุกไปคว่ำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ด 3-0 แถมบางเกมยังสามารถยื้อสู้ทีมใหญ่ๆได้อีกต่างหาก แม้เขาจะไม่ได้รับการชื่นชมมากเท่าไหร่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่สม่ำเสมอ แต่การที่บอร์นมัธที่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว กลายเป็นทีมที่อยู่รอดปลอดภัยได้ในตอนนี้ ก็ถือว่าเขาควรได้รับเครดิตพอสมควรขอขอบคุณภาพประกอบบทความภาพที่ 1,2,3 และ 4 จาก Facebook Everton Football Clubภาพที่ 5,6 และภาพปกบทความ จาก Facebook AFC Bournemount