“ลี้” คืออำเภอหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของจังหวัดลำพูน หากย้อนเวลากลับไปเมื่อราวๆ 50-60 ปีที่แล้ว อำเภอลี้ยังคงลึกลับ ถูกปกคลุมไปด้วยพื้นที่ราบสลับเนินเขาอันอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่ด้วยความที่อำเภอลี้ไม่ใช่เส้นทางผ่านของถนนสายเศรษฐกิจจึงกลายเป็นดินแดนที่ถูกมองข้ามและยากจะเข้าถึงไปโดยปริยาย อย่างไรก็ดีจากจุดอ่อนในข้อนี้กลับกลายมาเป็นข้อดีที่ทำให้อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นพื้นที่ซึ่งมีเสน่ห์น่าหลงใหลและมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้มาแบบเฉี่ยว ๆ และผ่านไป แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างตั้งใจมาสัมผัสกับเมืองลี้ที่ยังมีความลับซึ่งรอการพิสูจน์จากนักเดินทางทั่วราชอาณาจักอยู่นั่นเอง การเดินทางของเราเริ่มต้นบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 จากอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ไปสิ้นสุดปลายทางที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเส้นทางการท่องเที่ยวซึ่งช่างภาพสายมอเตอร์ไซค์นิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีจุดเช็คอินน่าสนใจระหว่างทางอยู่หลายแห่งด้วยกัน หนึ่งในนั้นคืออำเภอลี้(ที่ไม่ลับ) จังหวัดลำพูน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวสวย ร่ำรวยวัฒนธรรม งามล้ำโค้งแม่น้ำปิง เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตแนบอิงกับธรรมชาติเป็นที่สุด สองข้างทางในระยะทางประมาณ 72 กิโลเมตรของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 นั้นถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้ผลัดใบสลับกับสวนข้าวโพดของชาวบ้าน และมีแหล่งชุมชนกระจายตัวกันอยู่ห่าง ๆ บางช่วงก็เป็นเส้นทางขึ้นภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกจาง ๆ และสายลมพัดผ่านเบา ๆ ให้เรารู้สึกผ่อนคลายแบบสบายอารมณ์อีกด้วย อนุสาวรีย์สามครูบา จุดนัดพบยอดนิยมของนักเดินทางสายผจญภัยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ "อนุสาวรีย์สามครูบา" (ครูบาศรีวิชัย ครูบาอภิชัยขาวปี และ ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา)ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางอำเภอลี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งคุณงามความดีให้กับพระ เกจิดังอาจารย์ดีที่ได้รับการยกย่องจากคนพื้นที่ให้เป็น “นักบุญแห่งแดนลี้” นั่นเอง เมื่อสักการะอนุสาวรีย์สามครูบาเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว พวกเราจึงมุ่งหน้าไปต่อตามเส้นทางอุทยานแห่งชาติแม่ปิงซึ่งห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร และจากปากทางเข้าอุทยานเป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร เราก็ได้พบกับป้ายบอกทางไปยังชุมชนบ้านน้ำบ่อน้อยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้ บ้านน้ำบ่อน้อย ภาพของบ้านไม้หลังน้อยที่ร้อยเรียงเรื่องราว บอกกล่าวถึงความเป็นมาของวิถีชีวิตชนเผ่าปกาเกอะญอ แห่งเมืองลี้ ผู้ปฏิเสธความศิวิไลซ์และมอบหัวใจให้พระพุทธศาสนาตามแนวทางการปฏิบัติสมถะและวิปัสนาแบบดั้งเดิม คือข้อมูลเดียวที่เรามีเกี่ยวกับชุมชนแห่งนี้ เมื่อศึกษาหาข้อมูลจากคนในชุมชนที่พอจะสื่อสารเป็นคำเมือง(ภาษาเหนือ)กับเราได้บ้าง ก็ทราบว่า "บ้านน้ำบ่อน้อย" คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานมาหลายชั่วอายุคน เนื่องจากในบริเวณนี้มีบ่อน้ำขนาดเล็กซึ่งผุดขึ้นมากลางศิลาแลงแผ่นใหญ่ และได้รับการพยากรณ์จาก “ครูบาวงศ์”(ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา) เกจินักพัฒนาศูนย์รวมจิตศรัทธาของชาวเมืองลี้ ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของผืนดินบริเวณนี้ว่าในอดีตเคยมีฤๅษีผู้มีอิทธิฤทธิ์ ได้ทำการอฐิษฐานจิตและปักไม้เท้าลงไปจนเกิดบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ผุดขึ้นมาให้ผู้คนได้ใช้สอยกันต่อมาเป็นระยะเวลานับพันปี อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเมืองบังบด ผู้คอยปกปักษ์รักษาผืนดินบริเวณนี้ให้พ้นจากเพศภัยทั้งปวง จึงขอให้ชาวปกาเกอะญอผู้ซึ่งอยู่อาศัยในบริเวณนี้ยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดี ถือข้อวัตรปฏิบัติดีและละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิตนั่นเอง กาลเวลาเปลี่ยนไป สรรพสิ่งใด ๆ ก็ล้วนเปลี่ยนแปลงตาม ผลกระทบจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ชุมชนที่เคยหลับใหลเริ่มได้รับผลกระทบจากการแสวงหาทรัพยากรจากคนนอกพื้นที่ และสิ่งที่คนกลุ่มนี้หมายปองก็คือศิลาแลงผืนใหญ่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นี่เอง ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ที่ดินในบริเวณ “บ้านน้ำบ่อน้อย” จากที่เคยเป็นพื้นที่ว่างเปล่ามีผู้อยู่อาศัยบางตา แต่ด้วยศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและคำสอนของครูบาอาจารย์ ชาวปกาเกอะญอในบริเวณนี้ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 3,000 คน เริ่มทยอยย้ายเข้ามาสร้างชุมชนเพื่อปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากการรุกราน ส่งผลให้ปัจจุบันมีชาวบ้านย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ทั้งหมดเป็นจำนวน 57 หลังคาเรือน และพวกเขาเหล่านี้ยังธำรงคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เพื่อเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าความศรัทธาที่เขามีต่อพระพุทธศาสนาไม่สามารถแลกด้วยเงินตรา หรือของมีค่าอย่างใด จะว่าไปชุมชนบ้านน้ำบ่อน้อยอาจเป็นเพียงกลุ่มคนไม่กี่คนบนโลกใบนี้ ที่หาญกล้าปฏิเสธความสะดวกสบาย และเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายตามสไตล์พวกเขา เพราะขนาดเสาไฟฟ้าต้นใหญ่พาดผ่านทางเข้าชุมชนเพียง 50 เมตร กลับไม่ทำให้พวกเขาหวั่นไหวไปกับความศิวิไลซ์ของโลกภายนอกเลย พวกเขาปฏิเสธที่จะใช้ไฟฟ้า ไม่มีระบบน้ำประปา ไม่สะสมของมีค่า ละเว้นการฆ่าและทานอาหารมังสวิรัติ ตลอดจนเคร่งครัดในวิถีการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ทำให้พวกเขาไม่ยึดติดกับการแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งอะไรก็ตามที่นอกเหนือไปจากปัจจัย 4 ข้อของการดำรงชีวิตเลยนั่นเอง พวกเราใช้เวลาเดินสำรวจชุมชนแห่งนี้ทุกซอกทุกมุ ก็พบว่าคนที่นี่มีความเป็นธรรมชาติไม่เสแสร้งหรือแกล้งทำเพื่อให้พวกเราพอใจ พวกเขายังคงใช้ชีวิตปกติ สร้างบ้านจากวัสดุธรรมชาติ มุงหลังคาด้วยใบตองตึง ตักน้ำจากบ่อขุดเพื่ออุปโภคและบริโภคด้วยวิธีการดั้งเดิม ผู้สูงอายุหลายคนในชุมชนสื่อสารด้วยภาษาปกาเกอะญอซึ่งเราไม่สามารถเข้าใจ แต่ทุกรอยยิ้มจากคุณตา คุณยายที่ส่งถึงพวกเรานั้น แสดงออกถึงความจริงใจที่ไม่มีนัยแอบแฝงได้เป็นอย่างดี บรรยากาศของชุมชนซึ่งมีอัตลักษณ์ชัดเจนเช่นนี้นับวันเริ่มหายากขึ้นทุกที เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคือดาบสองคมที่มีทั้งด้านดีและด้านร้าย หากเราไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตให้เดินอยู่บนทางสายกลางได้ ก็อาจตกเป็นเหยื่อของกระแสทุนนิยมได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกัน บทเรียนที่เราได้รับจากบ้านน้ำบ่อน้อยคือการได้หันกลับมามองอีกมุมหนึ่งของชีวิต เพราะในขณะที่คนส่วนใหญ่ต่างแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งความสะดวกสบาย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากได้ใคร่มีที่ไม่เคยพอ แต่กลับมีคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่เลือกปฏิเสธความสะดวกสบายทางร่างกาย เพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจาก “ความอยาก” ซึ่งเปรียบเสมือนพันธนาการทางจิตใจซึ่งทำให้สังคมไทยห่างไกลจากคำว่า “น้ำใจ” มากขึ้นไปทุกที ภาพประกอบโดยผู้เขียนและทีมงาน"ตากล้อง" FB : กฤษฏา นามสุข