กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันตกตอนกลางของคาบสมุทรมลายู กัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การเงิน และเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซีย แต่ถ้าเทียบกับเมืองหลวงของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว กัวลาลัมเปอร์ไม่ใช่เมืองที่เก่าแก่อะไรนัก แต่ก็ร่ำรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ที่เร้าใจ การตั้งถิ่นฐานกัวลาลัมเปอร์ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1857 ณ จุดที่แม่น้ำกมบัก (Gombak) และแม่น้ำกลัง (Klang) ไหลมาบรรจบกัน ในภาษาอังกฤษ เราสามารถแปลชื่อกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) อย่างตรงตัวได้ว่า “จุดที่โคลนมาเจอกัน” ("muddy confluence") ประวัติศาสตร์ของกัวลาลัมเปอร์เริ่มจากเรื่องราวของนักสำรวจแร่ชาวจีนจำนวน 87 คน ที่ได้รับการว่าจ้างจากเชื้อพระวงศ์ของเซอลาโงร์ (Selangor) ให้มาสำรวจดีบุกในหุบเขากลัง (Klang Valley) ชาวจีนล่องขึ้นมาตามลำน้ำจนถึงบริเวณอัมปัง (Ampang) และลงมือสร้างเหมืองดีบุกขึ้นที่นั่น นับเป็นจุดเริ่มแรกสุดของพื้นที่ที่ต่อมาจะพัฒนา และเติบโตขึ้นมาเป็นกัวลาลัมเปอร์ที่เรารู้จักกันดี อย่างไรก็ตาม ชาวจีน 69 คนใน 87 คน เสียชีวิตจากโรคระบาดเพราะในเวลานั้น พื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นป่าทึบอยู่เหมืองดีบุกได้ดึงดูดพ่อค้าให้เข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งของจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอาหารให้กับชาวเหมือง และพ่อค้าเหล่านั้นก็จะได้รับดีบุกอันมีค่าเป็นการแลกเปลี่ยนกลับไป ณ บริเวณที่เรียกว่า กัวลาลัมเปอร์ นี้เอง เป็นจุดที่ไกลที่สุดที่พ่อค้าสามารถเดินเรือเข้ามาตามแม่น้ำกลังได้โดยสะดวก และกลายเป็นจุดที่รวบรวม และกระจายสินค้าจากเหมืองดีบุกดังกล่าวเมืองพัฒนาขึ้นข้าง ๆ จุดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน โดยมีจตุรัสตลาดเก่า (Medan Pasar Besar) เป็นศูนย์กลางการค้า ชาวจีนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนรอบ ๆ ตลาด ในขณะที่ชาวมลายู และชาวอินเดียจะตั้งถิ่นฐานขยับขึ้นไปทางเหนือ โดยมีถนนชวา (Java Street) (ปัจจุบัน คือ จาลัน ตัน เปรัค (Jalan Tun Perak) เป็นเส้นแบ่งระหว่างชุมชนชาวจีนและชาวมลายู โครงข่ายถนนในยุคแรกตัดกระจายตัวออกไปจุดหมายสำคัญต่าง ๆ รอบ ๆ เมือง รองรับชาวเหมืองที่ทยอยตามกันเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกัวลาลัมเปอร์ ความขัดแย้งของชาวจีนในชุมชนชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน จะมีหัวหน้าของชุมชนดำรงตำแหน่งเป็น แกปิตัน ซิน่า (Kapitan Cina) ทำหน้าที่รับประกันความสงบสุขของชุมชน ซึ่งได้รับตำแหน่งจากการแต่งตั้งของชาวมาเลย์อีกทียับ อา ลอย ผู้มีบทบาทสูงในช่วงแรกของการสร้างกัวลาลัมเปอร์ ยับ อา ลอย (Yap Ah Loy) แกปิตัน ซิน่าคนที่ 3 (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1868 - 1885) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมือง ยับ อา ลอยก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกของเมือง สร้างที่พักให้กับคนไร้บ้าน สร้างระบบผดุงความยุติธรรมแบบใช้กันเองขึ้นในเมือง มีการออกใบอนุญาตให้ซ่อง บ่อนการพนัน และร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไรก็ตามยับ อา ลอยเป็นสมาชิกของอั้งยี่ที่มีนามว่า สมาคมลับไห่ซาน (Hai San Secret Society) ซึ่งเป็นอริกับหงีหิ้นกงสี (Ghee Hin Kongsi) อั้งยี่อีกกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในกัวลาลัมเปอร์เช่นกัน แม้จะมีชื่อว่าเป็นสมาคม ลับ แต่พวกเขาก็ดำเนินการโดยเปิดเผย ในปี ค.ศ. 1870 เพื่อนของยับ อา ลอยถูกฆ่าตาย สันนิษฐานกันว่าเป็นฝีมือของ จงจง (Chong Chong) ผู้นำของหงีหิ้นกงสีในเขตคันชิง (Kanching) ยับ อา ลอยแก้แค้นด้วยการพาคนเข้าไปขับไล่ จงจง กับพวกหงีหิ้นกงสีออกไปจากเมือง มีคน 20 คน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ซึ่งถูกเรียกกันในภายหลังว่า การสังหารหมู่ที่คันชิง (The Kanching Massacre)ระหว่างปี ค.ศ. 1867 - 1874 กัวลาลัมเปอร์ตกอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองเซอลาโงร์ (Selangor Civil War) เนื่องมาจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเพื่อครอบครองผลประโยชน์จากการทำเหมืองดีบุกในกัวลาลัมเปอร์ เจ้าชายองค์ต่าง ๆ ของเซอลาโงร์ต่างสนับสนุนแก๊งอั้งยี่เพื่อขยายอิทธิพล เมืองได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ยับ อา ลอยสามารถกลับมาสร้างเมืองใหม่ได้อีกครั้ง สงครามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1874 อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ราคาดีบุกตกต่ำลง ยับ อา ลอยพาชาวเมืองผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ จนราคาดีบุกกลับมาสูงขึ้นในปี ค.ศ. 1879 และจะนำความมั่งคั่งมาให้กัวลาลัมเปอร์ต่อไป ภายใต้การบริหารของอังกฤษในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1873 แอนดรูว์ คลาร์ค ( Andrew Clarke) ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งข้าหลวงแห่งอาณานิคมในพระองค์ (Crown Colony) ประจำสเตรตส์เซตเทิลเมนต์ (Straits Settlements) ต้องการจะแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทระหว่างสมาคมลับของจีน และบรรดาเจ้าชายมลายูทั้งหลาย เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อการผลิต และการค้าดีบุกในภูมิภาค คลาร์คให้เจ้าหน้าที่อังกฤษเข้าไปแทรกแซง จัดการให้ยุติเรื่องวิวาทระหว่างชาวจีนก๊กต่าง ๆ และเชิญเจ้าชายมลายูไปพบกันที่เกาะปังกอร์ เพื่อเจรจาปัญหาต่าง ๆ ในภูมิภาค ท้ายที่สุดสัมฤทธิ์ผลเป็นสนธิสนสัญญาปังกอร์ (Pangkor Treaty of 1874) ส่งผลให้อังกฤษมีอำนาจบริหารเหนือดินแดนส่วนใหญ่ในคาบสมุทรมลายู รวมทั้งเหนือเมืองกัวลาลัมเปอร์ที่ตั้งอยู่ในเขตแดนของสุลต่านแห่งเซอลาโงร์ด้วยในปี ค.ศ. 1880 อังกฤษย้ายเมืองหลวงของอาณานิคมจากกลังมาอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ วิลเลียม บลูมฟิลด์ ดักลาส (William Bloomfield Douglas) ข้าหลวงประจำได้วางผังเมืองใหม่ว่า ที่ทำการของหน่วยงานรัฐบาล และที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกจะอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกลัง ส่วนชาวจีน และชาวมลายูจะอยู่อาศัยทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ที่ทำการรัฐบาล และอาคารกองบัญชาการตำรวจก่อสร้างขึ้นในบริเวณบูกิต อามัน (Bukit Aman) มีกองกำลังตำรวจ 200 - 300 นายได้รับการจัดตั้งขึ้นในเมืองข้าหลวงประจำอีกคนที่เข้ามามีบทบาทในการเจริญเติบโตของกัวลาลัมเปอร์ คือ แฟรงค์ สเวตเตนแฮม (Frank Swettenham) แต่เดิมบ้านเรือนในกัวลาลัมเปอร์สร้างด้วยไม้ ระบบสาธารณสุขก็ยังไม่ดีนัก หลังจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ของเมืองเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1881 สเวตเตนแฮมซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงประจำในปี ค.ศ. 1882 กระตุ้นให้ชาวเมืองสร้างบ้านด้วยอิฐ และกระเบื้อง ขยายถนนออกไปให้กว้างกว่าเดิม พร้อมกับสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ที่อาคารจะมีหลังคาครอบคลุมมาถึงทางเดินเท้าริมถนน (Five - foot way)ภาพถ่ายกัวลาลัมเปอร์ในปี ค.ศ. 1884 สเวตเตนแฮมยังได้ริเริ่มให้มีการสร้างทางรถไฟเชื่อมระหว่างกัวลาลัมเปอร์ กับกลัง เปิดใช้งานในปี ค.ศ. 1886 ทำให้ประชากรในกัวลาลัมเปอร์เพิ่มขึ้นจาก 4,500 คน ในปี ค.ศ. 1884 เป็น 20,000 คนในปี ค.ศ. 1890 เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น สเวตเตนแฮมจัดตั้งคณะกรรรมการสุขาภิบาลของเมืองในปี ค.ศ. 1890 เพื่อดูแลเกี่ยวกับความสะอาดภายในเมือง กำจัดสิ่งปฏิกูล บำรุงถนนหนทาง รวมทั้งไฟส่องสว่างตามถนนด้วยในปี ค.ศ. 1897 อังกฤษย้ายที่ทำการของรัฐบาลอีกครั้ง จากบูกิต อามันไปตั้งยังอาคารสุลต่านอับดุลซาหมัด (Sultan Abdul Samad Building) ที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งเบื้องหน้าอาคารดังกล่าวคือ สนามขนาดใหญ่เรียกว่า ปาดัง (Padang) หรือในปัจจุบันเรียกว่า จตุรัสเมอร์เดกา (Merdeka Square) การ “บูม” ของการกรีดยางอุตสาหกรรมยาง (Rubber) เป็นคลื่นระลอกใหม่ที่เข้ามากระตุ้นการเจริญเติบโตของกัวลาลัมเปอร์ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 ความต้องการยางสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ได้กระตุ้นให้มีการปลูกต้นยางเป็นจำนวนมากในคาบสมุทรมลายู ซึ่งมีสภาพอากาศที่เหมาะสมและให้ผลผลิตดี ต้นยางต้นแรกถูกนำเข้ามาในคาบสมุทรมลายูเมื่อปี ค.ศ. 1877 ในรัฐเปรัค ก่อนจะกระจายไปทั่วคาบสมุทรมลายูผลจากการอุตสาหกรรมยางทำให้ประชากรในกัวลาลัมเปอร์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเท่าทวีคูณ เมื่อถึงปี ค.ศ. 1920 ประมาณการกันว่า มีประชากรในกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 80,000 คน และเพิ่มเป็น 110,000 คน ในปี ค.ศ. 1931 แม้ว่าจะอยูภายใต้การบริหารของอังกฤษแต่ธุรกิจของเมืองอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวจีนอุตสาหกรรมการผลิตยางที่มีอิทธิพลสูงในช่วงนี้ ดึงดูดนักลงทุนในภูมิภาคให้เข้ามาตั้งบริษัทกันในกัวลาลัมเปอร์ เช่นเดียวกับความหอมหวานของการทำเหมืองดีบุกเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน เศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วก็ต้องเผชิญกับความตกต่ำ โดยธรรมชาติของการปลูกต้นยางแล้ว จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าต้นยางจะโตพอที่จะให้ผลผลิต เมื่อมีการเร่งปลูกพร้อมกัน พอถึงเวลาที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ กัวลาลัมเปอร์ก็เผชิญกับภาวะยางล้นตลาด ราคายางตกต่ำ และเกิดภาวะการตกงานครั้งใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1920ภาพการกรีดยางในมาเลเซีย ปี ค.ศ. 1910 สงครามโลกครั้งที่ 2เมื่อถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กัวลาลัมเปอร์ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ 11 มกราคม ค.ศ. 1942 จนถึง 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ในช่วงเวลา 3 ปี 8 เดือนนี้ เศรษฐกิจของกัวลาลัมเปอร์แทบจะหยุดชะงัก มีชาวจีนอย่างน้อย ๆ 5,000 คนเสียชีวิตในช่วงแรกของการยึดครอง ส่วนชาวอินเดียก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานในทางรถไฟสายพม่า (Burma Railway - ทางรถไฟสายมรณะ) กลับกันชาวมลายูได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าชาวจีน และชาวอินเดีย ญี่ปุ่นให้สัญญาว่าชาวมลายูจะได้รับเอกราชภายหลังสงครามภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น กัวลาลัมเปอร์ยังเป็นศูนย์กลางในการปกครอง และบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นที่ญี่ปุ่นดูแลอยู่ ญี่ปุ่นสั่งปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ และภาษาจีน และทุก ๆ เช้าโรงเรียนในกัวลาลัมเปอร์จะต้องร้องเพลงชาติญี่ปุ่น (Kimigayo) เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ เงินเยนของทหารญี่ปุ่น (Japanese Military Yen) ถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และเนื่องจากญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาใช้เองโดยไม่ต้องมีเงินทุนสำรอง จึงทำให้ค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรงมากขึ้นในช่วงสงครามในช่วงท้ายของสงคราม ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิด โบอิง บี-29 ซูเปอร์ฟอร์เทรส (Boeing B-29 Superfortress) ได้ปฏิบัติภารกิจเข้ามาทิ้งระเบิดใส่กัวลาลัมเปอร์ 2 ครั้ง ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ และ 10 มีนาคม ค.ศ. 1945 โดยมีเป้าหมายอยู่ที่สถานีรถไฟกัวลาลัมเปอร์ ส่งผลให้สถานีรถไฟเสียหายอย่างหนัก หลังการทิ้งระเบิดชาวเมืองเลิกตกแต่งประดับประดาบ้านเรือนด้วยธงของจักรวรรดิญี่ปุ่น ด้วยกลัวว่าบ้านเรือนของตนจะตกเป็นเป้าของการทิ้งระเบิดอีกนายพลอิทากาคิ (Itagaki) มอบดาบประจำตัวให้กับพลโทแฟรงค์ เมสเซอวี (Frank Messervy) ผู้บัญชาการกองบัญชาการมลายูแห่งกองทัพบริติชในพิธียอมจำนนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 เอกราชเหนือกัวลาลัมเปอร์อังกฤษประกาศจัดตั้งสหภาพมลายันในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1946 เป็นการสื่อสารอย่างเป็นทางการว่าอังกฤษจะกลับเข้ามาปกครองคาบสมุทรมลายูในฐานะอาณานิคมอีกครั้ง แต่ท่ามกลางปัญหาภายหลังสงคราม ราคายางที่ตกต่ำอีกครั้ง ค่าจ้างที่ลดลง ปัญหาเงินเฟ้อ ฯลฯ ทำให้ชาวมลายูต่อต้านการกลับเข้ามาของเจ้าอาณานิคม และฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ เกิดเป็นวิกฤตการณ์มาลายา ซึ่งจะกินเวลานาน 12 ปี (Malayan Emergency 1948 - 1960) ชาวมลายูมีการจัดตั้ง “หมู่บ้านใหม่” (New Villages) ขึ้นมาที่นอกเมืองกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเป็นฐานในการก่อความไม่สงบ และรบแบบกองโจร16 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1952 ชาวเมืองได้ลิ้มรสการเลือกตั้งสภาเมืองเป็นครั้งแรก เนื่องจากอังกฤษต้องการแสวงหาความร่วมมือทางการเมืองในภูมิภาค แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อสมาคมชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน (Malaysian Chinese Association) และองค์การมลายูรวมแห่งชาติ (United Malays National Organisation) ได้รับเลือกตั้งในสภาเมือง ต่อมาทั้ง 2 องค์กร และสภาชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย (Malaysian Indian Congress) ก็ร่วมมือกันจัดตั้งเป็นพรรคพันธมิตร (Alliance Party) ลงเลือกตั้งในระดับชาติ และได้รับชัยชนะในปี ค.ศ. 1955 ภายใต้การนำของตุนกู อับดุล ระฮ์มัน (Tunku Abdul Rahman)ในที่สุด หลังจากการต่อสู้เรียกร้องเอกราชมานานหลายสิบปี มาเลเซียก็ได้รับเอกราช ในคืนวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1957 ฝูงชนมารวมกันที่สนามปาดัง กลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ ในเวลาเที่ยงคืน เสียงดนตรีบรรเลงเพลงก็อดเซฟเดอะควีน (God Save the Queen) ธงยูเนียนแจ็ก (Union Jack) ของอังกฤษ ค่อย ๆ ถูกชักลงมา และเพลงเนอการากู (Negaraku) ก็ได้รับการบรรเลงขึ้น พร้อม ๆ กับธงชาติของมาเลเซียที่ค่อย ๆ ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสา ฝูงชนตะโกน “เมอร์เดก้า !” (Merdeka !) ซ้ำไปซ้ำมา ตุนกู อับดุล ระฮ์มัน กล่าวสุนทรพจน์ “นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของชาวมลายู” ("greatest moment in the life of the Malayan people")เอกสารคำประกาศเอกราชของสหพันธรัฐมาเลเซีย เขียนในภาษามลายู (Bahasa Melayu) ลงวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1957 ปัญหาภายหลังได้รับเอกราช และการเจริญเติบโตของเมืองภายหลังได้รับเอกราช กัวลาลัมเปอร์ยังคงสถานะเป็นเมืองหลวงของมาเลเซีย แต่ชาติใหม่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาภายหลังได้รับเอกราชเหมือนกับชาติอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวจีน และชาวมลายูซึ่งมีมาเนิ่นนานได้ลุกลามขยายตัวไปภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 เหตุการณ์บานปลายไปถึงขั้นมีการจลาจลเกิดขึ้นกลางเมืองกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1969 (13 May incident) มีประชาชนเสียชีวิต 196 คน นับเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งใหญ่ของมาเลเซียกัวลาลัมเปอร์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นดินแดนสหพันธ์โดยตรงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 และต่อมาก็สิ้นสุดสถานะในการเป็นเมืองหลวงของรัฐเซอลาโงร์ในปี ค.ศ. 197814 พฤษภาคม ค.ศ. 1990 กัวลาลัมเปอร์ฉลองครบรอบ 100 ปีของสภาท้องถิ่น (นับตั้งแต่สเวตเตนแฮมจัดตั้งคณะกรรรมการสุขาภิบาลของเมืองในปี ค.ศ. 1890) มีการประกาศใช้ธงของกัวลาลัมเปอร์ และเพลงประจำกัวลาลัมเปอร์ขึ้นมาใช้อย่างเป็นทางการธงประจำเมืองกัวลาลัมเปอร์ ในทศวรรษที่ 1990 เศรษฐกิจของกัวลาลัมเปอร์เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วไปพร้อม ๆ กับการบูม (Boom) ของเศรษฐกิจในเอเชีย มีการพัฒนาศูนย์กลางเมืองขึ้นมาใหม่ที่จาลัน อัมปัง (Jalan Ampang) เกิดตึกระฟ้าขึ้นมากมายในกัวลาลัมเปอร์ สถาปนิกได้รับการกระตุ้นจากภาครัฐในออกแบบตึกระฟ้าที่มีรูปแบบศิลปะประเพณีนิยมสอดแทรกลงไปด้วย ซึ่งเราจะเห็นความเป็นอิสลามสอดแทรกอยู่ในดีไซน์ เช่น เมนารา เทเลคอม (Telekom Tower) และเปโตรนาสทาวเวอร์ (Petronas Towers) ขณะเดียวกันการพัฒนาเมืองเช่นนี้ ก็ทำให้เมืองต้องทุบทำลายอาคารเก่าแก่หลายหลังลงไป เพื่อหลีกทางให้กับความทันสมัย ระบบขนส่งมวลชนในระบบรางถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1995 ปัจจุบันกัวลาลัมเปอร์และปริมณฑลมีทางรถไฟขนส่งมวลชน (Klang Valley Integrated Transit System) ระยะทางรวมกันมากกว่า 555 กิโลเมตร (เทียบกับกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในปี 2021 มีระยะทางที่เปิดใช้งานแล้ว รวมกัน 169 กิโลเมตร)ภาพถ่ายกัวลาลัมเปอร์ในปี ค.ศ. 2015 ในปัจจุบันหากรวมพื้นที่กัวลาลัมเปอร์และปริมณฑล (Greater Kuala Lumpur) เข้าด้วยกันแล้ว จะมีประชากรอยู่อาศัยประมาณ 7.5 ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่ 2,793.27 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม เมืองที่เจริญเติบโต และปัญหาอัตราการเกิดที่ลดน้อยลงทำให้กัวลาลัมเปอร์ขาดแคลนกำลังคนในภาคแรงงาน ประมาณการกันว่ามีแรงงานชาวต่างชาติอยู่ในกัวลาลัมเปอร์มากถึง 9.4% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บรรณานุกรม- อ้างอิง 1 / อ้างอิง 2 / อ้างอิง 3 / อ้างอิง 4 / อ้างอิง 5 / อ้างอิง 6 / อ้างอิง 7 / อ้างอิง 8 / อ้างอิง 9 / อ้างอิง 10 / อ้างอิง 11 / อ้างอิง 12 / อ้างอิง 13 / อ้างอิง 14 /- บาร์บารา วัตสัน อันดายา; และ ลีโอนาร์ด วาย. อันดายา. (2549). “ประวัติศาสตร์มาเลเซีย. แปลโดย พรรณี ฉัตรพลรักษ์”. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตร์และ มนุษยศาสตร์.เครดิตภาพปกจาก : Lambert & Co., G.R. / Singaporeเครดิตภาพประกอบ- ภาพที่ 1 : Unknown author- ภาพที่ 2 : G.R.Lambert & Co.,- ภาพที่ 3 : Kleingrothe, C.J. (Kleingrothe, Carl Josef, 1864-1925) / Medan- ภาพที่ 4 : Imperial War Museums- ภาพที่ 5 : Orhanghazi / National Museum of Malaysia- ภาพที่ 6 : Zscout370 - ภาพที่ 7 : Zukiman Mohamad / pexelsเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !