สวัสดีค่ะ ทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้างคะ ในสถานการณ์ของโรคระบาดแบบนี้ หลาย ๆ คนก็คงเป็นกังวลเกี่ยวกับโรคระบาด Covid-19 อยู่ใช่ไหมคะ...เราก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่เกิดความกังวลว่าตัวเองจะเหยียบระเบิดลูกนี้เมื่อไร และแล้ววันนั้นก็มาถึงค๊าาาา "เราไปเหยียบระเบิดลูกนั้น" ใช่ค่ะ เราติด Covid-19 ค่ะ ด้วยที่เราเป็นภูมิแพ้อยู่แล้วเป็นอะไรที่สังเกตตัวเองยากมากกเลยแหละ แต่มันก็มีอะไรพอจะให้สังเกตบ้างเล็กน้อย วันนี้เราจะมารีวิว "เมื่อฉันเป็น Covid-19" กันค่ะ อาการของเราเกิดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์ เราจะขออนุญาติเริ่มรีวิวเป็นวันเลยนะคะ เริ่มที่วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 วันนั้นช่วงเย็นเป็นเวลาเลิกงานของเราค่ะ แต่ฝนดันตก เราก็เลยวิ่งผ่าฝนไป BTS เพื่อที่จะได้กลับบ้าน ซึ่งวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ด้วยความว่าโดนฝนกลับบ้าน และเราดันเป็นประจำเดือนมาพอดิบพอดี ก็เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา ตอนนั้นไม่ได้เอะใจใด ๆ ทั้งสิ้นเลยค่ะ คิดว่าเป็นอะไรที่ปกติมาก วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564 ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับมีน้ำมูก และครั่นเนื้อครั่นตัวมากกว่าเดิม รู้สึกเหมือนมีไข้อ่อนๆ แต่ชีวิตยอดหญิง ฉันก็ยังไปทำงานเหมือนเดิมค่ะ โดยที่คิดว่าไม่เป็นอะไร ก็โดนฝนอ่ะ ก็ธรรมด๊าาาแกกก คิดม๊ากก ป้องกันตัวเองอย่างดี จะมาเป็นได้ยังไง๊ และแล้วจ้าาาา ตอนเย็นของวันนั้นก็เหมือนเกิดความวิบัติกับชีวิต นั่ง BTS ขากลับจากทำงาน อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนาว หนาวแบบปวดกระดูก และปวดก้นกบ ปวดหลัง แต่ก็ไม่เอะใจ เพราะอาการปวดก้นกบ กับปวดท้อง เราจะเป็นอยู่แล้วเวลาเป็นประจำเดือน พยายามไม่คิดอะไรมาก นั่งแบบซ่อนแขนใต้กระเป๋าบดบังความหนาวจาก BTS เอา จนกระทั่งลงจาก BTS เราก็ลากสังขารไปหาซื้อข้าวกินในตอนเย็น แต่พอลงมายืนถึงพื้นปุ๊บรู้สึกมึนหัว เวียนหัวเหมือนจะอ้วก มันมึนๆ เมาๆ บอกไม่ถูก แต่ก็ยังใช้ชีวิตปกติโดยที่ไม่รู้ว่า ฉันรับเชื้อไปแล้วเรียบร้อย วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 วันนี้เป็นวันที่มาแรงแซงทางโค้งที่สุดจ้า อาการตอนเช้าตื่นมา มึนแบบแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เวียนหัวจะอ้วก แต่ด้วยความสาวออฟฟิศที่ใกล้จะปิดงบประมาณ ชีวิตต้องสู้กับเวลา ฉันต้องไปส่งงานให้ได้ ก็เลยยืนนิ่ง ๆ สักพัก และสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มเข้า Google ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ ตอนนั้นคิดในแง่ดีว่าเป็น "ไข้ทับระดู" แน่ๆ เพราะเคยเป็นอยู่ อาการเป็นแบบนี้เลย ตอนนั้นไม่คิดว่าตนเองจะติดเชื้อ เพราะไม่ได้ใกล้ชิดกับใครที่เป็นผู้ติดเชื้อเลย แต่อาการเริ่มหนักขึ้นค่ะ เริ่มมีอาการคือ น้ำมูกไหล ระคายคอ หนาวในกระดูกกว่าเดิม และมึนจ้า มึนเหมือนแฮงค์อะไรมาสักอย่าง จนต้องพึ่งพายาแก้ปวดแล้วค่ะ และช่วงเย็นของวันนั้นตอนกลับบ้านไม่มีแรงจะกินอะไรเลยค่ะ กลับถึงบ้านก็คืออาบน้ำ กินพารา และนอนหลับเลย ตั้งแต่ 6 โมงเย็น กลางดึกไข้ขึ้นหนักมากกกกกก ร้อนหนาวปะปนกันไป ไข้ขึ้นจนกลัวจะช็อคเลยค่ะ แถมพ่วงด้วยอาการจะอ้วกด้วย ทรมาณสุดๆ อีกอย่างเหมือนได้ยินเสียงตัวเองหายใจดังฝืด ๆ หายใจไม่ลง เหมือนติดอะไรสักอย่าง จนต้องพลิกตัวนอนคว่ำ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองจะตุยเย่แล้ว ด้วยตอนนั้นไม่ได้มีความรู้การปฎิบัติตัวหากติดเชื้อ ตื่นมากลางดึกร้อน ๆ ก็คืออาบน้ำเลยจ้า ไม่ได้เช็คเนื้อเช็ดตัวใด ๆ นับว่าเป็นโชคดีที่ไม่ช็อคไปสะก่อน 5555 วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม 2564 ตื่นมาตอนเช้า หลังจากผ่านพ้นมรสุมอันโหดร้ายของเมื่อวาน ก็อาการดีขึ้นเฉยเลยค่ะ มีอาการเจ็บคอเล็กน้อยเท่านั้น วันนี้เป็นวัน WFH อยู่กับบ้านค่ะ แต่มีอาการอีกอย่างให้น่าจับตาคือ เพลีย เพลียขั้นสุด นอนก็เยอะ ไม่รู้ว่าเพลียอะไรเบอร์นั้น หลับไปแบบไม่รู้ตัวหลายรอบ และมีอาการอีกอย่างคือ ปวดตึง ๆ หัว ทำให้เราอัดยาพาราทุก 4 ชม. เลยค่ะ ตอนนั้นมีความเอะใจ ถามตัวเองแล้วว่า หรือว่าเราเป็นโควิดว่ะ ทำให้เราเริ่มหาข้อมูลของโรคนี้มากขึ้น ตั้งแต่นั้นเราเลยสังเกตอาการตัวเองเรื่อยมาเลยค่ะ วันศุกร์ที่ 2 กรกฏาคม 2564 ไปทำงานในตอนเช้า เป็นวันที่ต้องพกเสื้อแขนยาวแล้วค่ะวันนี้ เพราะเกิดอาการหนาวในกระดูกมากกว่าเดิม อัดยาทั้งวัน มีน้ำมูกใสออกมา และวันนี้อาการที่เพิ่มขึ้นคือ เจ็บจมูกช่วงดั้ง มันรู้สึกเคือง ๆ ปวด ๆ ตลอดเวลา และวันนี้เป็นวันที่เริ่มรู้ข่าวว่ามีคนในตึกที่เราทำงานอยู่เป็น Covid-19 กันเยอะมาก ๆ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็น ก็ยังทำงานปกติ จนกระทั่งช่วงเย็นที่กลับห้องค่ะ มีอาการไข้ขึ้นช่วงหัวค่ำ น้ำมูกไหลจนต้องเอากระดาษทิชชู่รอง เพราะไหลเหมือนเปิดก๊อกน้ำเลยค่ะ บวกกับอาการจาม แต่เรื่องกลิ่น และรสชาติอาหารยังปกติดีอยู่เลยยังคิดว่าตัวเองเป็นแค่ไข้ทับระดู หรือไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น ก็เลยอัดยาตามปกติ วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2564 วันนี้ตื่นมาไม่มีไข้แล้ว แต่สิ่งที่เจ็บปวด และเริ่มรู้ว่าตนเองไม่ปกติ คือ อาการไอแห้ง ไอจนปวดหัว ไอจนตึงหัวไปหมด เสียงพูดอู้อี้มากกว่าเดิม ไอจามจนปอดโยก เราก็อัดยากินยาปกติ และช่วงบ่ายด้วยอาการเพลียเชื้อ หรือยาก็ไม่รู้ ทำให้เราหลับไปค่ะ พีค ๆ ก็คือ เราตื่นมาช่วงประมาณ 4 โมงเย็น เราได้กลิ่นอ่อนมากเลยค่ะ ดมยาดมแล้วมันแค่รู้สึกเย็น ไม่ได้กลิ่นสมุนไพร เราเดินดมทุเรียนในตู้เย็น ซอสฝาเขียว และน้ำยาปรับผ้านุ่ม เรายังคงได้กลิ่นอยู่นะคะ แต่อ่อนจนเราต้องเอาจมูกเข้าไปชิดดดด ไม่งั้นเราไม่ได้กลิ่นอะไรเลย บวกกับอาการท้องเสียค่ะ ตอนนั้นเราเริ่มทักหาเพื่อนที่เคยเป็น Covid-19 เพื่อนปลอบใจว่า เราอาจจะจมูกตันค่ะ 55555 ในลองสังเกตอาการดูว่ามันภูมิแพ้เฉย เพราะไม่มีประวัติไปเสี่ยงเลย วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม 2564 สะดุ้งตื่นมาช่วงตี 5 ค่ะ เดินไปเข้าห้องน้ำ เพราะท้องเสีย บวกกับเริ่มรู้สึกตัวเองไม่ปกติแล้ว เราเลยไปเปิดตู้เย็น ปรากฎว่าไม่ได้กลิ่นทุเรียนแล้ว เดินดมซอสฝาเขียวกะคือ ดมจนจมูกจมไปในซอสก็คือไม่ได้กลิ่น น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เอาล่ะตอนนั้นเดินล่กอยู่ในห้อง วนไปวนมาว่าจะเอายังไงดี จะทำยังไงดี สัญชาตญาณ คือโทรหาพ่อค่ะ โทรไปร้องไห้ไป พ่อออออหนูไม่ได้กลิ่นนนนน (ต่อให้เราจะโตแค่ไหน เราก็จะงอแงกับพ่อแม่เสมอออ) ตอนนั้นโทรหาเพื่อนที่เป็น Covid-19 ก่อนเรา เพื่อนถามว่า จมูกมีไว้แค่หายใจใช่ไหม หายใจโล่งๆเลยใช่ไหม พอตอบว่า ใช่! เพื่อนก็ให้เราโทรหาหัวหน้างานเลยค่ะ ทางหน่วยงานเลยดำเนินการเรื่องรักษาให้ค่ะ เราได้ Swab วันที่ 5 กรกฏาคม 2564 ผลออกวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 เวลา 8:20 น. ว่าเป็น Positive ค่ะ และคุณหมอให้เตรียมข้าวของมาที่โรงพยาบาลได้เลย พอไปถึงก็ได้ตรวจออกซิเจน วัดความดัน และเอ็กซเรย์ปอดค่ะ เราโชคดีที่ไม่ลงปอด ได้ไปพักอยู่ที่ Hospitel ค่ะ เนื่องจากเราเป็นผู้ป่วยสีเขียว เรื่องยา เรารับประทานยาพื้นฐานทั่วไปเลยค่ะ พารา ลดน้ำมูก แก้ไอ เนื่องจากเราไม่ได้มีอาการลงปอดเลยไม่จำเป็นต้องรับประทานยาฟาวิพิราเวียค่ะ ถุงยังชีพตอนเราเข้าไปอยู่ Hospitel วันแรกค่ะ อุปกรณ์ครบมากกกก :) สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันตอน 7 โมงเช้า และ 4 โมงเย็น คือวัดระดับออกซิเจนในเลือด และวัดไข้ปรอทส่งให้กับคุณหมอค่ะ Hospitel ที่เราอยู่สามารถให้ญาตินำขนมมาฝากให้ได้นะคะ แต่ว่าต้องเป็นอาหารแห้งงงงเท่านั้น ของที่สามารถบูดไม่รับฝากเลยยย และการฝากจะฝากได้เป็นเวลาที่ จนท. กำหนดเท่านั้นค่ะ เราสามารถเบิกขนม นม กาแฟ มาม่า แมส น้ำ ถุงแดง จากคุณพยาบาลได้เลยค่ะ ของทั้งหมดจะมาพร้อมกับมื้ออาหาร ซึ่งจะมีตารางให้เบิกเป็นเวลา ของที่ได้รับจะเป็นของจากการบริจาคค่ะ ไม่เสียเงินเพิ่มใด ๆ ในรูปเราอยู่กับรูมเมท 2 คนค่ะ กินกันเก่งมาก ๆ กินข้าวเสร็จ กินมาม่ากันแทบจะหลังอาหารเลย 555555 วิวจากหน้าต่างค่ะ หน้าต่างทาง Hospitel ห้ามเปิดเด็ดขาดเลยยยย จากเหงาอยู่แล้ว เห็นหน้าต่างเศร้ายิ่งกว่า มันเป็นฝ้าค่ะ มองอะไรไม่ชัดเลย T^T 555555 เราพักใน Hospitel ทั้งหมด 14 วัน และกลับมากักที่บ้านต่ออีก 10 วัน ปัจจุบันเรากลับไปทำงานได้ปกติแล้วค่ะ แต่หลอนขึ้นหัวไปหมด กลัวจะติดอีกซ้ำสอง 555555 สรุปการเป็นโควิดครั้งนี้ : เราไม่ทราบว่าต้นสายปลายเหตุเราติดเชื้อจากที่ไหนค่ะ แต่ในที่ที่เราทำงานมีคนติดเชื้อเยอะ และก็ไม่ทราบว่าจากการเดินทางขนส่งสาธารณะหรือเปล่า เดาได้หลายทางมากเลยค่ะ และจากวิเคราะห์เอง หรือกรมควบคุมโรคโทรหาเรา เขาวิเคราะห์ว่าเราอาจจะติดจากการสัมผัส ปุ่มลิฟท์ โต๊ะ เก้าอี้ สารพัดทุกอย่าง และเอามาสัมผัสตัวเราเองค่ะ ไม่ว่าจะผม ตา หู จมูกใด ๆ ก็แล้วแต่ เราอาจจะติดจากตรงนั้นค่ะ ไว้คราวหน้าเราจะมารีวิวเมนูอาหารตอนที่เรากักตัวอยู่ใน Hospitel ฝากติดตามเราด้วยน้า :) ปล.เราพึ่งหัดเขียนครั้งแรกค่ะ อาจจะยืดยาวไปนิดนึง แต่ตั้งใจเขียนมากเลย ถ้าผิดพลาดประการใด เราขออภัยด้วยน้า ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ ขอบพระคุณมากค่าาา ^^ เครดิตภาพ : ภาพทั้งหมดในบทความเป็นของนักเขียนถ่ายภาพเองทั้งหมดค่ะ :) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !