ในโลกที่เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปเรื่อย ๆ นี้ภายใต้ระบบทุนนิยมเสรีทำให้มนุษย์ต้องเดินออกไปจากกรอบเดิมที่เคยอยู่นั้นเป็นภาวะนึงที่มันเป็นการเติบโตทั้งด้านความคิด ความรู้ จากการออกไปสู่พื้นที่ใหม่ที่ไม่เคยไปเยี่ยมเยือน มันพยายามสะสมให้เราต้องรู้จักแม้กระทั่งตนเอง มันพยายามขูดรีดจิตวิญญาณของเราให้เรารู้จักความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จัก นั้นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมผลกระทบของทุนนิยมสัญญะนั้นทำให้ก่อให้เกิดอาการทางจิตขึ้นมา ความเป็นอวัตถุที่มันมีมากกว่าภาษา สิ่งเหล่านี้ห่อให้เราเดินไปตามทางที่ระบบเหล่านี้ห่อให้เราเดินไปโดยเราต่างหากที่ไม่ใช่ผู้ที่มีเจตจำนงเสรีอย่างแท้จริง ภาพจาก Pixabayความคิดในแบบตัวของตัวเองเริ่มต้นที่จากมนุษย์นั้นต้องการจะเป็นอิสระจากที่ตัวเองยังเคยเป็นอยู่ในอดีต ซึ่งไม่ใช่ตัวตนในปัจจุบันนี้เนื่องจากความคิดที่ก้าวไกลในปัจจุบันและอนาคตนั้นมันทึ้งห่างออกอดีต มันจึงทำให้ความคิดที่ว่ามนุษย์นั้นต้องดิ้นรนเพื่อต่อสู้ แต่ในความเป็นจริงความคิดเหล่านี้ย่อมถูกกำหนดเพื่อให้ต้องปรับตัวอยู่รอด เพราะ ฉะนั้นการปรับตัวในที่นี้คือการทึ้งขาดจากอดีต หรือ เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ตัวเองได้อยู่รอดต่อไปได้ สำหรับในความหมายตรงนี้การปรับตัวเพื่ออยู่รอด/การเปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่รอด มันจึงไม่ใช่เรื่องของการที่เราต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออยู่รอด แต่มันคือห้วงเวลานึงถึงแม้ว่าจะมีนัยความหมายที่สื่อสารที่เข้าใจแบบเดียวกัน แต่นั้นก็เท่ากับว่า “การทำสิ่งนั้นอย่างการ เปลี่ยนแปลงและปรับตัว มันจะเป็นการเตรียมตัวต่อสู้เพื่อตัวเองอยู่” แต่ในแนวคิดนึงถ้าหากเราอ้างอิงผลลัพธ์แบบเดียวกันมาตรงนี้มันจะหมายความว่า ‘เรากำลังรู้ตัวอยู่ว่าเราเปลี่ยนแปลงนั้นก็เพื่อเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้ากับคนอื่นได้’ แต่บังเอิญว่าหลักคิดนี้มันขัดแย้งกับความคิดเรื่องเป็นตัวของตัวเองการเป็นตัวของตัวเองคือ การเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งเร้าภายนอก ถ้าหากเรามองความหมายของมันนี้มันก็อาจถือว่ามันเป็นการมองว่าความหมายจริง ๆ ก็คือ “เป็นตัวของตัวเองแบบต้องเปลี่ยนแปลง” หรือ “เป็นตัวของตัวเองแบบไม่มีการเปลี่ยนแปลง” ถ้างั้นในมุมมองเช่นนี้มันก็เหมือนกับหลักคตินิยมอย่างเสรีนิยมว่า การเป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นอิสระจะเป็นอะไรก็ได้เพราะการเปลี่ยนแปลงก็คือเรื่องของเรา และ การไม่เปลี่ยนแปลงก็คือเรื่องของเราเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วการเป็นตัวของตัวเองมันเป็นประโยคที่มีความจริงหลาย ๆ ชุดซ่อนอยู่ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องของคำตอบส่วนตัวของผู้อ่านเองซึ่งเป็นเหตุผลที่มีคำอธิบายในเชิงสาธารณะแต่คำตอบเชิงภววิสัยไม่มีในพื้นที่สาธารณะจริง ๆ ภาพจาก Pixabayเมื่อการเป็นตัวของตัวเองเป็นโจทย์คำถามที่จะต้องคิด ใคร่ครวญกันว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นคำตอบเฉพาะบุคคลหรือไม่นั้นจะต้องย้อนกลับไปหาแนวความคิดก่อน ๆ หน้านั้นอย่าง “เจตจำนงเสรี”(Free will) และ “นิยัตินิยม”(Determinism) โดยอธิบายคร่าว ๆ ว่า เจตจำนงเสรี มันคือ แนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่มีอะไรมากีดขวาง กับ นิยัตินิยม มันคือ แนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์นั้นถูกกำหนดโดยบางสิ่งที่มันครอบคลุม ทั้งวิธีคิด การกระทำ พฤติกรรม ของปัจเจกบุคคล ทุกอย่าง โดยทั้งสองอย่างนี้มันก็เป็นการปฎิเสธและยอมรับสิ่งที่เรียกว่า “เอกลักษณ์เฉพาะ” ของบุคคล เมื่อมนุษย์มีเจตจำนงเสรีแล้วการสร้างตัวตนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เพราะความเอกเทศจากบางสิ่งบางอย่าง ที่ทั้งเป็น พระเจ้า ธรรมชาติ มันจึงทำให้มนุษย์สามารถเป็นได้ทุกอย่าง แต่ในทางกลับกันนิยัตินิยมไม่ปฎิเสธว่าการสร้างตัวตนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตัวตนที่เราเป็นอยู่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งอาศัยวิธีคิดแบบเจตจำนงเสรี แต่ไม่สามารถออกนอกกรอบหรือนอกเหนือสิ่งที่เกินคาดหมายที่มีอยู่ได้ ในการสำรวจตัวตน สิ่งเหล่านี้ย่อมขัดแย้งกันเป็นธรรมดาแต่นั้นจะเป็นประเด็นคำถามที่มนุษย์ไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับตัวตนที่มันเป็นประเด็นขัดแย้งในสังคมได้ถ้าหากนำหลักนึงมาใช้และไม่สนใจหลักนึง ภาพจาก Pixabayเมื่อเราหันมาสนใจปัญหาอย่างจิตสำนึกนั้น มันเป็นปัญหาในแง่การมองมนุษย์ว่ามีเจตจำนงเสรีแต่ความเป็นจริงมนุษย์มีจิตสำนึกแต่ไม่สามารถมีเจตจำนงเสรีได้ เพราะ เจตจำนงเสรีมันเป็นเรื่องของจิตนิยมที่ไม่มีตัวตนหรือสสารที่มีความเป็นรูปธรรม ฉะนั้นมันจึงอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ถ้าหากอธิบายบนหลักโครงสร้างสังคมแบบนิยัตินิยมจะสามารถไขข้อเท็จจริงในส่วนนี้ได้ เช่นกันนิยัตินิยมสามารถไขความลับของบุคคลได้ว่าเราควรมีตัวตนแบบไหน เราควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือ จะทำอย่างไรให้ตัวเรากลายเป็นตัวเราอย่างแท้จริง นิยัตินิยมสามารถบอกในเชิงโครงสร้างได้ในแบบที่ไม่กลืนเอามายาคติความเป็นอิสระของมนุษย์เข้ามาภายในสิ่งที่เรียกว่า “สังคม” ได้ในสังคมนั้นมนุษย์มีเพียงเสรีภาพในฐานะที่ถูกกำหนดไว้เท่านั้นทั้งในแง่การบัญญัติลงข้อกฏหมายรัฐธรรมนูญ และ ในแง่ของกฏสากล ที่ยอมรับนับถือกันในระดับนานาชาติ สิ่งเหล่านี้ควรมีสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพเป็นพื้นฐานในการค้นหาตัวตนของเรา ถึงแม้ว่าในสภาวการณ์เราจะดี และ จะแย่แค่ไหนการค้นหาตัวเองก็ย่อมเป็นไปได้ โดยการค้นหาตัวเองนั้นเป็นเคล็ดลับและทริคที่ทำได้อย่างง่ายมากที่สุด โดยสังคมจะต้องทำให้เรามีสิ่งที่เรียงตามลำดับที่บุคคลนั้นจะสามารถดำเนินการไปตามเงื่อนไขของสังคมได้โดย 1.) การมีอิสระทางความคิด ที่ไม่ถูกปิดกั้น หรือ ถูกล้อมไปด้วยความหวาดกลัว 2.) การตั้งคำถามกับบางสิ่ง ทำบางสิ่งที่ชอบ และ เปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคม 3.) การสร้างเอกลักษณ์ และ อัตลักษณ์ หรือ ภายนอกของตัวเองให้มีความเด่น 4.) การรับรู้กฏเกณฑ์สังคมที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน 5.) การมีหลักคิดของตัวเอง อุดมการณ์ของตัวเอง หลักการของตัวเอง (ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมหล่อหลอมให้เรารู้จักว่าตัวเองจริง ๆ แล้วก็คือตัวเองในมายาคติว่าตัวเองเป็นเอกเทศของสังคมที่ตัวเองเป็นตัวเองอยู่ ฉะนั้น คุณจึงไม่ใช่คุณในฐานะที่คุณยังไม่ได้เป็นเอกเทศจากบางสิ่ง แต่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นเอกเทศจากบางสิ่งได้) โดยในความเป็นจริงแล้วเรามันเป็นเพียงมายาคติที่ไม่สามารถเป็นอิสระได้จากสังคมที่เราอยู่ เช่นกัน ‘กฏ’ ‘ระเบียบ’ ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นสิ่งที่บอกว่าสิ่งที่เราควรจะเป็นที่ตัวเราควรจะเป็นเป็นมายาคติ และ เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ถ้าหากอยู่ในกรอบนึงเท่านั้น