สวัสดีทุกท่านในบทความออนไลน์ครั้งแรกของชีวิต ซึ่งคิดอยู่นานว่าจะเขียนอะไรดี เรื่องมันก็มีอยู่ว่ามีพี่คนรู้จักแชร์เรื่องราวการเขียนบทความ ไอ้เราก็อยากจะลองดูบ้างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเขียนยังไงดี เอาเรื่องใกล้ๆ ตัวมาเขียนให้ทุกคนอ่าน เป็นเรื่องราวของเรากับแฟน ที่ตอนนี้แฟนป่วยเป็นโรคโปรตีนรั่วในไต หรือศัพท์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า Nephrotic Syndrome (เนโฟรติก ซินโดรม) เผื่อจะสร้างกำลังใจในการใช้ชีวิตได้บ้างไม่มากก็น้อยนั่นแหละ หรือจะไว้อ่านเล่นๆ เวลาเข้าห้องน้ำก็ได้นะ Nephrotic Syndrome (เนโฟรติก ซินโดรม) คืออะไร? Nephrotic Syndrome (เนโฟรติก ซินโดรม) เกิดจากการรั่วของโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะจำนวนมาก ทำให้อัลบูมินในเลือดต่ำลงและเกิดอาการเท้าบวม ตัวบวม ตาบวม กดที่เท้าแล้วเป็นรอยบุ๋ม บางครั้งก็บวมอาจจะถึงขั้นผิวแตก (แฟนเราผิวแตกเป็นลายไทยเลยละ น่าจะเพราะกินยาด้วย) ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่พบสาเหตุที่แท้จริงว่าโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร วิธีรักษาให้หายขาดก็ยังไม่มี มีแต่รักษาให้อาการสงบลงได้เพียงเท่านั้น ซึ่งการรักษาคือต้องกินยาสเตียรอยด์ ควบคู่กับการควบคุมการกินโซเดียม รสจัดต่างๆ อาหาร ขนม ซึ่งถ้าควบคุมได้ โอกาสที่โรคจะสงบจนเป็นปกติก็มีสูง เรื่องก็มีอยู่ว่า เรากับแฟนคบกันเข้าปีที่ 2 หรือ 3 ละมั้ง จำไม่ได้ไม่เคยนับ ตอนที่เราเจอกับเขาครั้งแรกเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี ท่าทางทะเล้นน่าเอ็นดู เขามาจีบเราก่อนตอนแรกก็เฉยๆ จีบไปจีบมา เราก็เริ่มใจอ่อนก็เลยคบกันมาเนี่ยละ ชีวิตความรักทั่วไปเราก็โอเค รักบ้างทะเลาะกันบ้างเป็นสีสันของชีวิต ตอนแรกๆ แฟนเราก็ไม่บอกนะว่าป่วยไม่สบาย จนมาวันหนึ่งเราได้รู้ว่าแฟนเราป่วย วันนั้นเราไปต่างจังหวัดและแฟนมีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ตัวร้อนและเกิดอาการบวม จากที่แฟนเราจะเป็นคนที่ ไฮเปอร์มากๆ ก็กลายเป็นหงอยตลอดทาง เราสังเกตุเห็นได้ชัด จนเราถามไปถามมาเลยรู้ว่าแฟนไม่สบาย และแฟนกินยาแก้แพ้ที่ซื้อมาจากคลีนิคแห่งหนึ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ แฟนมีผื่นขึ้นที่หน้าท้อง แขน ขา ตอนนั้นเรากลัวมากๆ ว่าแฟนจะเป็นอะไร แอบน้ำตาซึม เราเลยโทรหาคุณหมอที่ดูแลแฟนอยู่ คุณหมออยู่ที่ รพ.ศิริราช เพื่อนัดคุณหมอและเข้าตรวจ ในระหว่างนั้นเราก็ซักไซร้จนได้ความว่า แฟนเราป่วยมาหลายปี ก็มีอาการกำเริบมาหลายครั้ง และโรคเคยสงบถึงขั้นที่สามารถหยุดยาได้ แต่แฟนแอบไปดื่มแอลกอฮอล์อาการก็เลยกำเริบขึ้นมาอีก และล่าสุดคือแฟนเราแอบหยุดยาเองเพราะคิดว่าโรคน่าจะสงบอีกครั้ง แต่ก็นั่นแหละโรคเก่ากลับมาถามหา เล่ามาทั้งหมดฟังดูน่ากลัวใช่ไหมละ ซึ่งเราก็คิดเหมือนทุกคนนั่นแหละว่ามันน่ากลัว เราหาข้อมูลทุกที่ที่เราสามารถหาได้ อ่านจนได้ข้อมูลมาพอสมควร การดูแล การรักษา การอยู่การกิน ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตกันแบบปกตินั่นแหละมีอย่างหนึ่งที่คู่เราอาจจะแตกต่างไปบ้างนั้นก็คือ เราไปหาหมอบ่อยๆ ตอนแรกๆ เดินทางไปหาหมอทุกเดือน ตอนนี้เป็น 3 เดือนครั้ง 2 เดือนครั้ง อีกอย่างคือการกิน , การใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างที่ค่อนข้างจะต้องระมัดระมัด เพราะแฟนเราไม่สบาย เราสงสารแฟนเราจับใจ แต่เราจะทำอะไรได้ ในเมื่อโรคมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือดูแลแฟนอย่างใกล้ชิดเพื่อให้อาการไม่กำเริบ ให้อาการของโรคทรงตัวและใช้ชีวิตได้ปกติ อาการป่วยต่างๆ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเมื่อเราทำความเข้าใจ หลังจากที่เราไปศึกษาข้อมูลมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เราก็อยากรู้สาเหตุอยากรู้ว่าโรคตัวนี้จริงๆ มันคืออะไรกันแน่ จนกระทั่งเรากับแฟนตัดสินใจ "เจาะไต" เพื่อทราบโรคที่แน่ชัด หลังจากนั้นเรามีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการนิดหน่อย (นิดหน่อยสำหรับเราและแฟน) การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เป็นไปด้วยรัก และอยากให้แฟนเรามีอาการที่โรคสงบอย่างถาวรนั่นเอง เราเคยอ่านหนังสือเจอบทความในหลายๆ แหล่งซึ่งเขียนไว้ว่า " กินอาหารให้เป็นยา " ในใจเราก็คิดว่า ถ้าเราทำแบบนั้นบ้างแฟนเราคงดีขึ้นเราเลยเริ่มปฏิวัติตัวเองและแฟนนับตั้งแต่นั้นมา.... 10 ข้อ เมื่อฉันและแฟนปฏิวัติการกินและการใช้ชีวิต เราไม่กินผงชูรส เลิกกินผงชูรสโดยเด็ดขาด รวมถึงผงปรุงรสต่างๆ ซึ่งเราคิดว่ามันมีโซเดียมที่สูง ในกรณีที่กินข้าวนอกบ้านก็เน้นไปเลยว่า "ไม่ใส่ผงชูรสค่ะ กินไม่ได้แพ้มากๆ ค่ะ" เราไม่กินรสจัด ปกติก็กินรสธรรมดาทั่วไปนี่แหละ แต่ตอนนี้หรอ? น้ำปลา 1 ช้อนชาปรุงได้ 2 เมนู ลิ้มรสชาติของวัตถุดิบแบบเต็มๆ ไปเลย เลือกกินอาหารที่ดีขึ้น ทำอาหารกินเองบ่อยขึ้น ดัดแปลงเมนูอาหารเพื่อไม่ให้การกินเป็นเรื่องน่าเบื่อ ตรงนี้จะบอกว่าประหยัดขึ้นด้วยนะ กินขนมน้อยลง กลัวแฟนหิวด้วย แต่ก็ให้กินขนมบ้าง นานๆที ไม่ให้เครียดกับการควบคุมอาหาร ชีวิตติดแมส ทุกวันนี้ซื้อผ้าอนามัยปิดปาก ป้องกันเชื้อโรคแบบเป็นกล่องๆ ไปไหนต้องระวังมากๆ เพราะเชื้อโรคมันมาตามอากาศก็มาก แต่ก็ไม่ได้ใส่แมสตลอดเวลาหรือปิดหน้าปิดตาจนดูน่ากลัว หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและเชื้อโรคเยอะๆ เช่น สถานบรรเทิงที่มีฝุ่นควัน สารพิษ สารเคมี โรงพยาบาล ถ้าจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็จะใส่แมสปิดปาก เวลากลับมาถึงบ้านก็จะอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนชุดโดยทันที รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะช่องปากและมือ เพราะเราเข้าใจว่าช่องปากนั้นติดเชื้อได้ง่าย แปรงฟันดีขึ้น สะอาดขึ้น (แอบบังคับแฟนให้แปรงฟันอย่างถูกวิธี ใช้น้ำยาบ้วนปาก และหาหมอฟันทุกๆ 5-6 เดือนครั้ง) ของใช้ส่วนตัวคือส่วนตัวจริงๆ ไม่เอามาปนเปกัน ไม่กินน้ำหลอดเดียวกันกับคนอื่น ไม่กินแก้วและช้อนเดียวกัน รวมถึงห้ามใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ เพราะกลัวการติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่าย จากที่เคยแฮงค์เอาท์ ดื่มแอลกอฮอล์ก็เลิกไปเลย มาปาร์ตี้น่ารักๆ ทานข้าว ผลไม้ หากิจกรรมทำด้วยกัน (เรากับแฟนชอบขับรถเล่นตอนเย็นหลังเลิกงานค่ะ) ทำทุกวันให้เป็นเรื่องสนุก ไม่เก็บเรื่องเครียดๆ หรือเรื่องงานมาคิดมาก ออกกำลังกายบ่อยขึ้นเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อสร้างสุขภาพที่ดี เราให้กำลังใจกันทุกวันด้วยการกอด หอมแก้ม และพูดคุย ทั้งกับเราและกับครอบครัว เราคิดว่ากำลังใจนั้นสำคัญต่อการใช้ชีวิตมากๆ เมื่อไหร่ที่เรามีจิตใจที่อบอุ่นและเต็มด้วยความรักแล้ว มันจะสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ให้แก่กันและกัน พลังมหาศาลนี้จะช่วยให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิต มีกำลังใจในการดูแลตัวเอง และเราเชื่อว่าสักวันโรคจะสงบไป ตอนนี้ผลที่ได้คือ แฟนของเราลดยาลงเหลือ 2 เม็ดแล้ว แต่ตัวโรคก็ยังสวิงๆ อยู่บ้าง ฉี่ก็ยังเป็นฟองบ้าง เดี๋ยวดี เดี๋ยวหาย เราก็คอยดูแลอย่างใกล้ชิด มีสิ่งหนึ่งที่เราจะบอกแฟนเราเสมอว่า ถ้ารักเราก็ต้องรักตัวเองด้วยดูแลตัวเองให้ดี รักตัวเองให้สมกับที่พ่อแม่สร้างเรามาและรักเรา สุดท้ายนี้บทความนี้ก็อาจจะเป็นบทความหนึ่งที่เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเราอยากจะเล่าให้ฟัง ทุกคนเกิดมาก็ต้องพบเจอกับการ แก่ เจ็บและตายเหมือนกันทุกคน แต่บางคนอาจจะกำลังเจ็บป่วยหรืออาจจะกำลังประสบปัญหาต่างๆ ในชีวิต เราอยากจะบอกทุกคนว่า ยังมีเรื่องสนุกๆ อีกตั้งมากมายให้เราได้ทำ ให้เราได้เจอ อย่าท้อแท้ เป็นกำลังใจให้นะคะ