เมื่อหลายปีที่ผ่านมาเราอาจเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับอดีตผู้นำกองกำลังเซิร์บในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา Ratko Mladić ที่ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตโทษฐานที่เกี่ยวข้องในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมบอสเนียเมื่อปี ค.ศ. 1992-1995 โดยศาลตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย (International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia - ICTY) ซึ่งข่าวดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข่าวการดำเนินคดีอาชญากรสงครามที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียวภาพธงชาติอดีตประเทศยูโกสลาเวีย ประเทศยูโกสลาเวียนั้น ประกอบด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นการรวมกันของ 6 สาธารณะรัฐ คือ สโลวีเนีย โครเอเชีย เซอร์เบีย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย ต่อมาประธานาธิบดี ยอซีป บรอซ ติโต (Josip Broz Tito) รัฐบุรุษและผู้ที่สร้างประเทศยูโกสลาเวียให้เป็นปึกแผ่นได้เสียชีวิตลง ประกอบกับการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียต ทำให้ความรู้สึกชาตินิยมของแต่ละเชื้อชาติที่ถูกกดไว้โดยลัทธิคอมมิวนิสต์และกฎเหล็กในสมัยติโตมีความรุนแรงมากขึ้น แต่ละสาธารณรัฐจึงได้ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากยูโกสลาเวีย (ยกเว้นมอนเตเนโกร) แต่ในขณะเดียวกันเซอร์เบียซึ่งมีกองกำลังที่เหนือกว่าสาธารณะรัฐอื่น ๆ ยังอยากเป็นประเทศยูโกสลาเวียอยู่ เซอร์เบียจึงอ้างความเป็นประเทศยูโกสลาเวียและประกาศสงครามกับสาธารณะรัฐต่าง ๆ ที่ต้องการแยกตัว โดยในปี ค.ศ.1992 เซอร์เบียบุกบอสเนียและได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมบอสเนียเป็นจำนวนมาก ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้และประกาศหยุดยิง เพราะ มีการกดดันจากสหประชาชาติและนาโต โดยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและขู่ว่าจะทิ้งระเบิดที่เซอร์เบียเวลาล่วงเลยผ่านมากว่าสองทศวรรษ Ratko Mladić อดีตผู้นำกองกำลังเซิร์บในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ได้ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตโทษฐานที่เกี่ยวข้องในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมบอสเนีย โดยศาลตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย ซึ่งกระบวนการตัดสินนั้นเริ่มต้นมาจากการที่คณะมณตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศขึ้น ซึ่งทางคณะกรรมการดังกล่าวได้สรุปว่าสถานการณ์ในบอสเนียเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) อย่างร้ายแรง กล่าวคือมีการกระทำความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และการมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยสมควรจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นกรณีพิเศษ (Ad hoc International Tribunal) คณะมณตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจึงมีมติจัดตั้งศาลตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวียขึ้นในปี ค.ศ.1993 เพื่อพิจารณาคดีและจัดการกับปัญหาดังกล่าว ภายใต้หมวดที่ 7 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และประกาศใช้ธรรมนูญจัดตั้งศาลโดยยึดตามหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเขตอำนาจศาลครอบคลุมในส่วนของอาชญากรรมสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งในกรณีของ Ratko Mladić มีความผิดครอบคลุมในเขตอำนาจศาล ศาลฯจึงสามารถดำเนินคดีกับ Ratko Mladić ได้สำเร็จคุก "ตวลสเลง" คุกที่พวกเขมรแดงใช้ในการคุมขังและทรมานนักโทษในช่วงที่ปกครองประเทศกัมพูชาจากที่กล่าวมาทั้งหมดอาจกล่าวได้ว่าโลกเราในศตวรรษนี้ "ไม่มีที่ยืนให้กับอาชญากรสงครามอีกต่อไป" การกระทำที่มีลักษณะเป็นภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติ อาทิ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การใช้ความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้น รวมถึงการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ สามารถถูกดำเนินคดีและได้รับการลงโทษ โดยอาศัยกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศผ่านองค์การระหว่างประเทศ ทำให้อาชญากรเหล่านี้ไม่สามารถหลีกหนีความผิดที่ตนเองก่อเอาไว้ได้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีของอดีตสองผู้นำเขมรแดง นวน เจีย และ เขียว สัมพัน ที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเมื่อหลายปีที่ผ่านมา โดยศาลคดีเขมรแดงซึ่งจัดตั้งโดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับองค์การสหประชาชาชาติ เพื่อพิจารณาคดีบรรดาเหล่าอดีตผู้นำเขมรแดง ที่มีส่วนในการรับผิดชอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาระหว่างที่เขมรแดงปกครองประเทศ ซึ่งในการดำเนินการพิจารณาคดีนั้นไม่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกัมพูชาหรือองค์การสหประชาชาติ โดยอำนาจศาลนั้นคล้ายคลึงกับศาลตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย โดยครอบคลุมทั้งกฎหมายอาญากัมพูชา ตลอดจนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อ้างอิงปกป้อง ศรีสนิท. กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ. โรงพิมพ์เดือนตุลาสมพงศ์ ชูมาก. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอภิญญา เลื่อนฉวี. กฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง. สำนักพิมพ์วิญญูชนเครดิตรูปภาพภาพหน้าปกจาก Pixabay โดย Arek Sochaภาพที่ 1 Tommy_T จาก Pixabay ภาพที่ 2 Clker-Free-Vector-Images จาก Pixabayภาพที่ 3 Binh Dang Nam จาก Pixabay