ในปัจจุบันการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 ยังเป็นที่เฝ้าระวังกันอย่างมากของคนทั่วโลก ซึ่งไวรัสชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1960 แต่ไม่สามารถสืบทราบที่มาของต้นกำเนิดไวรัสได้อย่างชัดเจน โดยไวรัสชนิดนี้สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ในปัจจุบันพบว่าไวรัสชนิดนี้ก็คือ “ไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ที่ 7 หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า COVID-19” ขอบคุณรูปภาพจากhttps://pixabay.com/th/ ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กลับพบว่าไวรัสชนิดนี้กลายพันธุ์ได้ ซึ่งสามารถกลายพันธุ์ได้ถึง 2 TYPE ด้วยกันนั่นก็คือ “S TYPE และ L TYPE” ในช่วงแรกที่ไวรัสนี้ยังอยู่ที่ขั้น S TYPE นั้นพบว่าสามารถแพร่กระจายเชื้อโรคได้ถึง 30% ทำให้นักวิทยาศาสตร์เร่งค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้ เมื่อเวลาผ่านไปแต่นักวิทยาศาสตร์ยังหายาต้านไวรัสไม่ได้ แต่ไวรัสกลับพัฒนาหรือว่าเป็นการกลายพันธุ์ขึ้นไปอีกขั้นที่เรียกว่า L TYPE ขอบคุณรูปภาพจากhttps://pixabay.com/th/ ซึ่ง L TYPE สามารถกระจายเชื้อโรคได้มากถึง 70% ทำให้เชื้อโรคสามารถกระจายได้เป็นวงกว้างมากขึ้น จาก 30% เป็น 70% นอกจากนี้ยังพบว่าสามารถติดเชื้อได้ทางปัสสาวะและอุจจาระอีกด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่าในร่างกายมนุษย์ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าใน 1 คนสามารถพบได้เพียงชนิดเดียวไม่สามารถอยู่ร่วมกันในร่างกายของมนุษย์ 1 คนต่อเชื้อโรค 2 ชนิดได้ ซึ่งนักวิทยาสาสตร์ยังบอกอีกว่านับเป็นการดีที่ไวรัสชนิดนี้กลายพันธุ์ เพราะว่าจะสามารถวิจัยและรักษาให้ตรงจุดได้ ว่าผู้ป่วยรายนี้เป็นผู้ป่วยระยะไหน ขั้นใด S TYPE หรือ L TYPE ขอบคุณรูปภาพจากhttps://pixabay.com/th/ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 อาการเบื้องต้นคือมีไข้และไอ แต่อย่างไรก็ตามทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระบบทางเดินหายใจประเทศจีนบอกว่า ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีไข้หรือทำ CT SCAN แล้วแต่กลับไม่พบ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จะหลุดลอดจากการคัดกรองและสามารถนำเชื้อไวรัสไปแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ จากผลการทำ CT SCAN บริเวณทรวงอกพบว่าผู้ที่เชื้อ COVID-19 ร้อยละ 57% พบว่าจะมีจุดสีขาวภายในปอด แต่กลับไม่พบความผิดปกติในผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรงนอกจากนี้ยังตรวจพบภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำในผู้ติดเชื้ออีกด้วย