“วีรกรรม ณ ค่ายบางกุ้ง” เป็นวลีติดหูที่ผมเคยได้ยินจากผู้หลักผู้ใหญ่สมัยเด็กๆ...ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าคืออะไร จะว่าเป็นสถานที่เลี้ยงกุ้ง ขายกุ้งก็คงไม่ใช่... ดูจากสีหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว เลยได้แต่คิดเป็นอย่างเดียวว่าคงเป็นเรื่องราวอะไรที่สำคัญในอดีตอย่างแน่นอน ...และในวันนี้ ผมได้มีโอกาสไปเยือนค่ายบางกุ้งอย่างมิได้นัดหมาย และเมื่อมาแล้ว จะมาเฉยๆ ก็คงเสียที เลยถือโอกาสเก็บเรื่องราวดีๆจากการมาเยือนครั้งนี้มาฝากท่านผู้อ่านกันนะครับ ค่ายบางกุ้งแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม อำเภอบางคนที หากจะเดินทางมาในยุคนี้เพียงแค่เปิดแอพพลิเคชั่นแผนที่ก็สะดวกสบายไม่ยากอะไร แถมไม่ต้องหลงทาง คลำทางให้เสียเวลา และเมื่อวิ่งเลยผ่านตลาดแม่กลองมา ขับต่ออีกสักพักก็เป็นอันถึงที่หมาย... เมื่อผ่านขอบประตูป้อมปราการของค่ายบางกุ้ง ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปอดีต ภาพของค่ายรบโบราณที่เราคุ้นเคยในหนัง หรือในละครพีเรียดผุดขึ้นมาในหัวได้ไม่ยากนัก (ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ใช่สถานที่เลี้ยงกุ้ง ขายกุ้งแล้วเหมือนที่คิดตอนสมัยเด็กๆ แล้วหล่ะ) หลังลงจากรถแล้ว สิ่งแรกที่ควรกระทำคือการไปสักการะพระประธานเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเดินไปชมบริเวณโดยรอบ ซึ่ง “หลวงพ่อนิลมณี” แห่งค่ายบางกุ้งนี้เขาโจษจันกันหนาหูว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก และยิ่งท่านประดิษฐานภายใน “โบสถ์ปรกโพธิ์” ซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ติดอันดับของเมืองไทยตั้งแต่อดีต ยิ่งทำให้ผมอยากไปเห็นกับตาเร็วๆเหลือเกิน เมื่อเดินเท้าเข้ามาถึงหน้าโบสถ์ปรกโพธิ์อันลือลั่น ผมก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากบริเวณรอบโบสถ์มีรูปปั้นนายทหารโบราณนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อยันต์คาดดาบ ทำหน้าที่ประดุจดั่งทวารบาลทั้งสี่ทิศของโบสถ์ ดูเป็นที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง เสมือนหนึ่งมีเหตุการณ์สำคัญในอดีตให้มีเรื่องที่ต้องคิดอ่านการใหญ่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ และเมื่อผมได้มายืนอยู่บริเวณทางเข้าหน้าโบสถ์แล้ว ยิ่งทำให้ประหลาดใจขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่เราเห็นคือโบสถ์ทั้งหลังเหมือนถูกจับให้วางไว้อยู่กลางต้นไม้ คำถามคือ แล้วโบสถ์มันไม่พังเหรอ?... สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือต้นไม้ที่ล้อมรอบโบสถ์ปรกโพธิ์นั้นไม่ใช่แค่ต้นโพธิ์อย่างเดียว แต่เป็นต้นไม้ถึง 4 ชนิด คือ “ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง” ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี ความสูงถึง 25 เมตร มารวมตัวกันห่อหุ้มโบสถ์ตรงกลางเหมือนสี่ประสานเข้ากันเป็นอย่างดี ...ไม่น่าเชื่อ!!! ว่ามาได้อย่างไร บริเวณด้านหน้าโบสถ์จะมีจุดบริการดอกไม้ธูปเทียนของทางวัด... ว่าแล้วไม่รอช้า ผมจัดการทำบุญใส่ตู้ จุดธูปเทียนพร้อมกล่าวคำบูชาหลวงพ่อนิลมณี “นะโมตัสสะ 3 จบ อะหัง พุทธนิลมณี สิระสา นะมามิ ชะยะ ตุภะวัง สัพพะศัตรู วินาศสันติ” บอกกล่าวท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งใจเดินเข้าไปภายในโบสถ์ สิ่งที่เห็นเด่นเป็นสง่าอยู่ ณ เบื้องหน้าของผมก็คือ หลวงพ่อนิลมณี ของจริงๆ... ท่านเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ปางมารวิชัย เป็นพระประธานของโบสถ์ มีอายุอานามเก่าแก่คาดว่าตั้งแต่ยุคปลายของสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั่วทั้งองค์หลวงพ่อนั้นเหลืองอร่ามด้วยแผ่นทองคำเปลวที่สาธุชนมากหน้าหลายตานำมาประทับไว้บนพื้นผิวเพื่อแสดงออกซึ่งความศรัทธา และถ้ามาถึงแล้วก็มิควรรอช้าที่จะนำแผ่นทองคำเปลวขึ้นไปปิดที่หลวงพ่อ โดยบริเวณรอบด้านหลวงพ่อจะมีบันไดวนรอบไว้สำหรับเดินขึ้นไปปิดทองตั้งแต่ด้านข้างไปจนถึงด้านหลัง วนกลับลงไปอีกฝั่งของหลวงพ่อได้ ผมบรรจงก้มกราบหน้าผากแตะบริเวณหัวเข่าด้านขวาของหลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมปิดทองช่วงหัวเข่า และด้านหลัง จากนั้นเดินลงอีกฝั่งด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ... สำหรับบริเวณฝาผนังภายในโบสถ์นั้นก็มีภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพุทธประวัติที่เก่ามากๆ เหลืออยู่ไม่กี่ภาพ แต่ยังพอมองได้ชัดเจนอยู่ สวยงาม ควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่ง... สมแล้วที่เป็นที่เลื่องชื่อ เพราะนอกจากความงดงามแปลกตาของพระพุทธรูปสำคัญที่อยู่ในโบสถ์ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้โบราณแล้ว ยังมีเรื่องราวที่ให้กล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ เนื่องด้วยเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขณะทรงยกพลไปทำศึกกับพม่าที่ค่ายบางแก้ว จังหวัดราชบุรี ในราวปี พ.ศ. 2317 ระหว่างทางพระองค์ได้หยุดพักทัพ และเสวยพระกระยาหาร ณ วัดกลางค่ายบางกุ้งแห่งนี้อีกด้วย เมื่อออกจากโบสถ์มาแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมต้องสะดุดตามองอย่างอย่างตื่นตะลึง นั้นก็คือ “ศาลองค์หญิงมณฑาทิพย์ (จันทร์เจ้า)” นางไม้เจ้าจอมที่มีชื่อเสียงเคียงคู่กันมากับค่ายบางกุ้งแห่งนี้ เนื่องด้วยมีประวัติที่จารึกไว้ยังบริเวณด้านหน้าของศาล ถึงวีรกรรมที่องค์หญิงได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับพม่า ณ ค่ายบางกุ้งแห่งนี้จนประสบชัยชนะ ภายหลังพระวินัยธร องอาจอาริโย พระผู้ฟื้นฟูวัดบางกุ้งหลังจากร้างมาเป็นร้อยปี จึงได้แกะสลักรูปขององค์หญิงด้วยไม้จากต้นโพธิ์ ซึ่งท่านแกะด้วยตัวท่านเองโดยอาศัยจากลักษณะที่ท่านได้พบองค์หญิงจากนิมิต ซึ่งศาลองค์หญิงมณฑาทิพย์ (จันทร์เจ้า) นี้ เป็นที่นับถืออย่างมากของผู้คนในละแวกนั้น รวมถึงผู้คนจากถิ่นอื่นที่รับรู้ถึงกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ ต่างมากราบไหว้ บนบาน ทั้งในเรื่องการงาน การสอบ สุขภาพ และเรื่องโชคลาภ อย่างไม่ขาดสาย จากบริเวณโบสถ์ปรกโพธิ์ และศาลองค์หญิงมณฑาทิพย์ (จันทร์เจ้า) แล้ว ยังมีอีกหลากหลายจุดสำคัญภายในค่ายบางกุ้งที่น่าสนใจ เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าศึกษาและน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง เห็นทีการเดินทางครั้งนี้คงยังไม่จบลงง่ายๆ ดังนั้นเพื่อจะได้มีเวลาพักหายใจทั้งท่านผู้อ่าน และผู้เขียน จึงขออนุญาตยกยอดไปต่อกันใน “เยือนถิ่นปฐมสมรภูมิแห่งแผ่นดินกรุงธนบุรี ณ ค่ายบางกุ้ง EP.2 แล้วกันนะครับ เรื่อง/ภาพประกอบ : โดยผู้เขียน