ช่วงสองปีที่ผ่านมา เราเผชิญสถานการณ์โรคติดต่อโควิด-19 ส่งผลให้คนส่วนใหญ่หันกลับมาดูแล ใส่ใจสุขภาพ พยายามหายา อาหารเสริมต่าง ๆที่เชื่อว่ามีผลต่อต้านโรค ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง วิตามินซีเป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากสรรพคุณในการป้องกันและลดความรุนแรงของหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยปกติแล้วความต้องการวิตามินซีของคนทั่วไปในแต่ละวัน ผู้ใหญ่จะอยู่ในช่วง 50-60 mg เด็กอยู่ในช่วง 15-45 mg แต่หากเป็นสภาวะร่างกายที่ไม่ปกติ เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วย ปริมาณวิตามินซีที่ต้องการก็จะแตกต่างออกไป ดังตาราง ปริมาณวิตามินซีที่รับประทานได้มากสุดในแต่ละวัน คือ ไม่ควรเกิน 2,000 mg ต่อวัน เนื่องจากหากรับประทานมากเกินไป อาจส่งผลเสียได้ เช่น ท้องเสีย ระคายเคืองทางเดินอาหารหากพิจารณาดูส่วนประกอบในฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซี จะพบรูปแบบวิตามินซีต่างๆ กัน โดยส่วนใหญ่มีส่วนประกอบหลักๆ ดังนี้Ascorbic acid เป็นวิตามินซีธรรมชาติที่พบได้ในอาหาร ดูดซึมได้ดี แต่ข้อจำกัดคือความกรด ทำให้เมื่อรับประทานในขนาดสูง อาจมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง แน่นท้องAscorbyl palmitate เป็นวิตามินซีในรูปที่ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในไขมัน อาจเรียกเป็น Vitamin C Ester ก็ได้ ทำให้สามารถผ่านเข้ามาในผนังเซลล์ได้ดี มีผลในหลอดทดลองว่าช่วยในเรื่องป้องกันการเกิดออกซิเดชันในเม็ดเลือดแดงได้ แต่อย่างไรก็ตาม Ascorbyl palmitate เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกสลายเป็นวิตามินซีเดี่ยวๆกลุ่ม Bioflavonoids เป็นสารประกอบพอลีฟีนอล ที่พบได้ในผัก ผลไม้ ที่มีปริมาณวิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะนาว บรอกโคลี ได้แก่ Hesperidin, Rutin มีส่วนช่วยในการดูดซึมวิตามินซี กระตุ้นภูมิคุ้มกันเกลือ ascorbate (Minerals ascorbate) การที่ทำวิตามินซีให้อยู่ในรูปนี้ เพื่อ “ลดความเป็นกรด” ช่วยเพิ่มความคงตัว และเพิ่มการดูดซึมของวิตามิน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทนอาการข้างเคียงจาก Ascorbic acid ได้ เกลือที่จับ เช่น Sodium, Magnesium, Calcium เป็นต้น โดยรวม เรียกว่า “Buffered vitamin C” แต่ก็มีข้อควรระวัง หากมีการทานวิตามินปริมาณสูง อาจต้องระวังการได้รับเกลือแร่เกินปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน ยกตัวอย่างเช่น Sodium ascorbate 1,000 mg จะมีปริมาณโซเดียม 111 mg ซึ่งในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ต้องจำกัดโซเดียม ก็ควรระมัดระวังในการรับประทานRose hip สารสกัดจากผลกุหลาบ ซึ่งให้วิตามินซีสูง หรือ Acerola ก็ให้ปริมาณวิตามินซีสูงเช่นกันลองดูตัวอย่างวิตามินซีที่มีขายกันบ้างBlackmore Bio C 1000 mgข้อบ่งใช้ตามข้างขวดคือ รักษาอาการขาดวิตามินซี เนื่องจากตัวนี้ขึ้นทะเบียนเป็นยา ปริมาณวิตามินซีจึงมีมากถึง 1000 mg เป็นรูปแบบเม็ด ซึ่งไม่ควรหักแบ่งรับประทานเนื่องจากจะสูญเสียประสิทธิภาพจากความชื้นได้ง่ายBlackmore Buffer C 500 mgขึ้นทะเบียนเป็นยาเช่นกัน แต่อยู่ในรูป sustained release ค่อยๆปลดปล่อยวิตามินจนครบ 8 ชม. ละเป็นวิตามินที่อยู่ในรูปเกลือ ascorbate จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับทางเดินอาหาร และเมื่ออยู่ในรูปค่อยๆปลดปล่อย จึงมีปริมาณเพียง 500 mg แนะนำรับประทาน 1-2 เม็ดต่อวันBlackmore Bio c Acerola plus 1500 mgเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกมาใหม่ของแบรนด์ เน้นวิตามินซีจากธรรมชาติ โดยสารหลักเป็นสารสกัดจาก Acerola ทั้งแบบผลและสารสกัดน้ำ รวมถึงสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ เช่น Rose Hip เมล็ดมะกอก ชาเขียว เพิ่มในส่วนของวิตามินอีและซีลีเนียมซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระMega Nat C 1000 mgVistra Acerola 1000 mgข้อมูลแบรนด์เคลมว่าเป็นวิตามินซีสกัดจากธรรมชาติ คือ Acerola Cherry 1000 mg เมื่อลองดูปริมาณวิตามินซีเทียบเท่าจริงๆ น่าจะไม่เกิน 60 mg เนื่องจาก Vistra Acerola ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีข้อกำหนดให้มีปริมาณวิตามินซีไม่เกินที่กำหนดใน Thai RDI ซึ่งต้องไม่เกิน 60 มก. แต่บางความเห็นของผู้ใช้ก็บอกว่า การใช้ตัวนี้มีผลในเรื่องผิวใสค่อนข้างดีDHC ของ DHC ขอพูดถึงในรูปแบบ 1000 mg กับ แบบ 500 mg โดยแบบ 1000 mg เป็นแบบเม็ด ที่อยู่ในรูป sustained release คือ ค่อยๆ ปลดปล่อย แนะนำให้รับประทาน 4 เม็ดต่อวัน แบบ 500 mg เป็นแบบแคปซูล ประกอบด้วยตัว vitamin c เทียบเท่า 501 mg และ vitamin B2 2 mg ช่วยเสริมการทำงานของ vitamin c แนะนำให้รับประทานวันละ 2 ครั้งNature’s bounty Vitamin-C 1000 mgตัวนี้ราคาค่อนข้างสูง แบรนด์เน้นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติ วิตามินซีตัวนี้เป็นสารสกัดจาก rose hip ซึ่งมีข้อมูลว่าอุดมไปด้วยวิตามินซีในปริมาณสูง (Rose hips มี viamin c ในช่วง 30-1300 mg/100 g ) ข้อมูลตามที่ขึ้นทะเบียนกับอย.ไทยคือใช้ป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด สำหรับรูปแบบ เป็น Time release ทำให้ดูดซึมได้ดี แนะนำทานครั้งละ 1 เม็ด พร้อมอาหารโดยทั่วไปรูปแบบวิตามินซี ก็จะมีทั้งแบบเม็ด (Tablet) แบบเม็ดฟู่ (Effervescent Tablet) แบบเม็ดเคี้ยวหรืออม การเลือกทานในแบบใดนั้น หากดูตามทฤษฎี ในรูปแบบเม็ดจะให้ผลดีกว่ารูปแบบอื่นๆ โดยเฉพาะที่ระบุว่าเป็นแบบ Buffered, Time slow release หรือ Sustained release เนื่องจากตัววิตามินซีจะค่อยๆ ปล่อยจากเม็ดยาช้าๆ ทำให้วิตามินซีออกฤทธิ์ได้นานขึ้น อีกทั้งช่วยให้ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แต่ยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่ยืนยันชัดเจนและควรทานไม่เกิน 1,000 mg ต่อวัน เนื่องจากมีข้อมูลจาก National institutes of health (NIH) ว่าการทานวิตามินซีที่มากกว่า 1,000 mg นั้นการดูดซึมจะลดลง โดยดูดซึมได้เพียงร้อยละ 50 เท่านั้นจากข้อมูลของผลิตภัณฑ์ของวิตามินซีข้างต้นนี้ สามารถนำมาวิเคราะห์ประกอบการพิจารณาการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินซีจากท้องตลาดที่มีมากมายได้ โดยเลือกให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการใช้ หากต้องการใช้สำหรับผู้ป่วยก็ควรเลือกใช้ในขนาดวิตามินซีสูง รวมทั้งเรื่องความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือและความเหมาะสมของราคาด้วยภาพที่ 1-7 และภาพปก Sky pharmaเปิดประสบการณ์ความบันเทิงสุดหลากหลาย บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !