เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่มักจะเรียกคนเหนือว่า "ลาว" อยู่เสมอ จึงเกิดความฝังใจว่า ทำไมถึงมาเรียกคนเหนือว่า ลาว กัน ทั้ง ๆ ที่คนเหนือก็เป็นคนไทยมิใช่หรือเรื่องราวดังกล่าว จึงทำให้เกิดความฝังใจมาตั้งแต่เด็กว่า คนเหนือ กับ คนลาว มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรแน่ แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก จึงไม่ได้คิดหาคำตอบอะไรในตอนนั้นเมื่อโตขึ้นมาอีกสักหน่อย น่าจะเป็นช่วงมัธยมปลายเห็นจะได้ พี่ชายของผมได้ซื้อเทปคาสเซ็ทมาตลับหนึ่ง หน้าปกเทปมีชื่ออัลบั้มว่า "โฟล์คซองคำเมือง" โดย "จรัล มโนเพ็ชร และ คณะ" เป็นอัลบั้มที่วางจำหน่ายราวปี พ.ศ. ๒๕๓๒ (ปี ค.ศ. 1989 หรืออาจจะเป็นปี 90 หรือ 91 จำได้ไม่ถนัดนัก แต่น่าจะอยู่ราว ๆ นี้) เป็นอัลบั้มที่คุณจรัล มโนเพ็ชร และ คุณสุนทรี เวชานนท์ นำมาขับร้องใหม่ ในแนวอะคูสติก มีเพลงที่คุ้นหูอยู่มากมายเช่น อุ้ยคำ, พี่สาวครับ, สาวมอเตอร์ไซด์, บ้านบนดอย, มะเมียะ, สาวเชียงใหม่ และเพลงคำเมืองไพเราะอีกมากมายและ เพลงที่ผมจะนำมาพูดถึง นั่นก็คือ "ลูกข้าวนึ่ง" ก่อนจะไปกันต่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในเพลงลูกข้าวนึ่ง ผมขอกล่าวถึง คุณจรัล มโนเพ็ชร ในฐานะศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาก่อนสักหน่อยหนึ่งนะครับภาพ: คุณจรัล มโนเพ็ชร โดย: ผู้เขียนจรัล มโนเพ็ชร พื้นเพเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิดครับ คุณจรัลเกิดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นบุตรคนที่สองจากพี่น้องทั้งหมด ๗ คน มีบิดาชื่อ สิงห์แก้ว มโนเพ็ชร และมารดาชื่อ เจ้าต่อมคำ (ณ เชียงใหม่) มโนเพ็ชร ท่านเป็นคนในตระกูล ณ เชียงใหม่ ซึ่งเป็นตระกูลเจ้านายฝ่ายเหนือครับเรารู้จักคุณจรัล มโนเพ็ชรเป็นอย่างดีในฐานะนักร้อง ผู้นำเสนอแนวเพลงโฟล์คในกลิ่นอายของชาวเหนือ โดยมีคำร้องเป็นภาษาพื้นถิ่นของชาวเหนือ หรือที่เรียกว่า คำเมือง ผสมผสานกันอย่างลงตัวจนเกิดเป็น โฟล์คซองคำเมือง ที่ไม่เพียงแต่ชาวเหนือเท่านั้นที่ชื่นชอบ แต่ยังเป็นที่ถูกใจของคนไทยทั่วทุกภาคของประเทศด้วย นอกจากผลงานเพลงแล้วคุณจรัลยังมีผลงานด้านการแสดง และยังได้รับรางวัลต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งในฐานะนักแสดง และนักดนตรีคุณจรัลจากไปอย่างกะทันหันด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ ที่จังหวัดลำพูน ได้มีการตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร เป็นเวลา ๕ วัน ถึงแม้ว่าคุณจรัล มโนเพ็ชร จะจากไปแล้วเป็นเวลา ๑๘ ปีแล้ว แต่บทเพลงโฟล์คซองคำเมืองของคุณจรัลนั้น ยังคงอยู่ในใจใครหลาย ๆ คนจนถึงทุกวันนี้ กลับมาที่ประเด็นของเรากันอีกครั้งครับ เพลงลูกข้าวนึ่ง ของคุณจรัล มโนเพ็ชร ทำให้ผมฉุกคิดสิ่งที่ยังค้างคาในใจข้างในลึก ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ในท่อนที่ร้องว่า "บางคนกิ๋นขนมปัง บางคนยังกิ๋นข้าวสาลี ข้าวโพดข้างโอ๊ตอย่างดี ข้าวเจ้าก็มีมากมายเฮานั้นเป๋นคนไทย บ่ไจ้คนลาวฝ่ายซ้าย ข้าวนึ่งกิ๋นแล้วสบาย ลูกป้อจายข้าวนึ่ง" นั่นปะไร คุณจรัลเองยังเขียนเนื้อเพลงในเชิงปฏิเสธเลยว่า เราไม่ใช่คนลาวนะ นั่นก็หมายความว่า ที่ผมเคยได้รับรู้มา มันต้องมีเค้าลางความเป็นจริงแล้วล่ะ ที่ว่า มีคนเรียกชาวเหนือว่า ลาวเรื่องนี้ที่จริงแล้ว ตัวผมเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงจากการได้รับรู้จากคำบอกเล่าของคุณแม่ของผมเอง คุณแม่ของผมเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด คุณยายเป็นคนเชียงราย ได้พบรักกับคุณตาที่เป็นคนจีนแต้จิ๋วจากซัวเถา และได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เชียงใหม่ ส่วนคุณพ่อของผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนกวางตุ้งเป็นคนกรุงเทพฯ อาศัยอยู่แถวฝั่งธนฯ มาพบรักกับคุณแม่ที่เชียงใหม่ หลังจากแต่งงานกันแล้ว คุณแม่ย้ายไปอยู่บ้านคุณพ่อที่ฝั่งธนฯ คุณแม่เล่าว่า คุณย่านั้นเป็นคนจีนค่อนข้างหัวโบราณ ไม่ค่อยชอบคนไทยเท่าไหร่ เพราะคุณย่าอ้างว่า คนไทยไม่ขยัน ซ้ำร้ายที่คุณแม่ผม เป็นคนเหนือมาจากเชียงใหม่ ยิ่งเป็นที่ไม่เข้าตาของคุณย่ากันเลยทีเดียว คุณแม่ยังเล่าอีกว่า คุณย่านั้นไม่ค่อยชอบคุณแม่เท่าไหร่ เพราะเป็นคนบ้านนอก เป็น ลาว (หมายเหตุ: เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดในย่อหน้านี้ มิได้มีจุดประสงค์อื่นใดที่จะทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงลบ หรือสร้างความเกลียดชังแต่ประการใด เพียงแต่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อต้องการที่จะบอกเล่าว่า ในสมัยก่อน มีการเรียกคนเหนือโดยใช้คำว่า ลาว อยู่จริง และจะได้เชื่อมโยงต่อไปถึงที่มาที่ไปของการเรียกแบบนี้ครับ)เมื่อผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ได้เรียนวิชาเสริมเกี่ยวกับเรื่องศิลปะ วัฒนธรรมไทย จึงได้เกิดความสนใจในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ขึ้นมา เมื่อได้มีโอกาสกลับมาฟังเพลง ลูกข้าวนึ่ง ของคุณจรัลอีกครั้ง จึงทำให้หวนคิดถึงเรื่อง คนเหนือ กับ คำว่าลาว และเกิดความคิดขึ้นมาว่า ในบันทึกประวัติศาสตร์น่าจะพอสืบหาที่มาที่ไปของการเรียกคนเหนือแบบนี้ได้บ้างจนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คือ อานามสยามยุทธ ที่เขียนขึ้นโดย ก.ศ.ร. กุหลาบ ด้วยความที่รับรู้มาแต่เดิมว่า ในสมัยโบราณ ไทย กับ พม่า มักเกิดสงครามกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ไทย เคยทำสงคราม กับ เวียดนาม ด้วย จึงสนใจใคร่รู้ขึ้นมา ถึงมูลเหตุ และที่มาที่ไปของสงครามในครั้งนี้แต่ด้วยความที่ ก.ศ.ร. กุหลาบ นั้น มักมีปัญหากับฝ่ายปกครองในเรื่องของงานเขียน จึงทำให้งานของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ซึ่งก็รวมถึง อานามสยามยุทธ เล่มนี้ด้วย ผมจึงได้อ่านควบคู่ไปกับ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ด้วยในที่สุด ผมจึงได้ถึงบางอ้อ จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชการที่ ๓ นี่เอง ซึ่งข้อความที่กล่าวถึงการเรียกคนเหนือว่า ลาว นั้น ถูกกล่าวถึงในตอนที่ กองทัพไทยสามารถตีค่ายของเจ้าอนุวงศ์จนแตกพ่ายไป ในขณะที่ทัพหลวงของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ตั้งทัพอยู่ที่พานพร้าว ทัพของหัวเมืองเหนือ และทัพของหลวงพระบาง ได้เข้ามายังค่ายพานพร้าว เพื่อถวายรายงานต่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคล บันทึกในพงศาวดารกล่าวไว้ว่า "ฝ่ายทัพพุงดำ ๕ หัวเมืองและหัวเมืองหลวงพระบางนั้น ถ้าทัพหลวงไม่ได้เมืองเวียงจันท์ ก็หามีผู้ใดมาถึงเมืองเวียงจันท์ไม่ แต่จะคอยเก็บครอบครัวช้างม้าอยู่ริมเขตต์แดนคอยทีไหวพริบเป็น ๒ เงื่อน แต่บัดนี้ใช้สอยได้เป็นปกติ ต้องขู่บ้าง ปลอบบ้าง แต่ยังดูน้ำใจทั้ง ๖ หัวเมือง ๆ หลวงพระบางอ่อนนัก เมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน ๒ เมืองนี้ ก็สุดแต่เมืองละคร เมืองแพร่นั้นตามธรรมเนียม แต่เมืองน่านนั้นการเดิมไหวอยู่ พระยาลครคนนี้มีอัธยาศัยมาก สมควรที่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมชุบเลี้ยง เห็นเป็นราชการได้ยืนยาว" และความอีกตอนหนึ่ง จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ บันทึกไว้ว่า "ถ้ากองทัพกรุงไปตามครอบครัวน้อยตัวก็ต่อสู้ ถ้าไปมากหนีเสียบ้างได้มาบ้าง ครัวซึ่งนายทัพนายกองได้มา ๒๐๐-๓๐๐ คน จะเลือกเอาฉกรรจ์แต่สัก ๙ คน ๑๐ คนก็ไม่ใคร่จะได้ ถ้าพุงดำไปเกลี้ยกล่อม ถึงไปน้อย ได้ครอบครัวมามาก ด้วยเป็นลาวเหมือนกัน ครัวหาสู้รบไม่ ได้ฉกรรจ์ก็มาก" จากบันทึกดังกล่าว จึงพอจะสรุปได้ว่า คนในสมัยโบราณนั้น เรียกขานชาวล้านนาว่า ลาว จริง แต่จะเรียกต่างกันไป คือ ถ้าเป็นชาวล้านนา จะเรียกว่า ลาวพุงดำ แต่ถ้าเป็นลาวล้านช้าง จะเรียกว่า ลาว หรือ ลาวพุงขาวฮั่นแน่!!! สงสัยเหมือนผมใช่ไหมล่ะ ... ทำไมต้อง พุงดำ ทำไมต้อง พุงขาว ... และอีกคำถามหนึ่งที่ผมแอบสงสัย คือ ในเพลง ลูกข้าวนึ่ง ของคุณจรัล ได้เขียนไว้ว่า บ่ไจ้คนลาวฝ่ายซ้าย ... คำว่า ลาวฝ่ายซ้าย หมายถึงอะไร จะเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่มาตามกันต่อไปครับภาพประกอบ: ลาวพุงดำ จัดทำโดย: ผู้เขียน จากข้อมูลที่ได้ทราบมา การที่คนสมัยก่อน เรียกขานชาวล้านนาว่า ลาวพุงดำ นั้น ก็สืบเนื่องมาจากรอยสักนั่นเองครับ ซึ่งรอยสักที่ว่านี้ คนล้านนาโบราณชอบสักตามลำตัว โดยที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะสักบริเวณรอบลำตัว ตั้งแต่หน้าท้อง ยาวลงไปจรดเข่า หรือน่อง ทำให้บริเวณหน้าท้อง หรือพุงนั้น เกิดเป็นรอยสักสีดำภาพประกอบ: ลาวพุงขาว จัดทำโดย: ผู้เขียนในส่วนของชาว ลาวล้านช้าง นั้น ผู้ชายก็จะมีการสักเช่นกัน แต่ชาวล้านช้างไม่นิยมสักตามลำตัวครับ มักนิยมสักโดยรอบตั้งแต่ต้นขาเรื่อยลงมา จนถึงเข่า หรือน่องเพียงเท่านั้น บริเวณลำตัวที่หน้าท้องจึงไม่มีรอยสัก และอีกข้อสงสัยหนึ่งที่ยังติดค้างกันไว้ก็คือ เนื้อเพลงลูกข้าวนึ่ง ท่อนที่ร้องว่า บ่ไจ้คนลาวฝ่ายซ้าย นั้นมีความหมายอย่างไรกันแน่ที่จริงแล้วคำว่า ลาวฝ่ายขวา หรือ ลาวฝ่ายซ้าย นั้น เป็นการเรียกชาวลาวตามตำแหน่งพื้นที่ที่อาศัยอยู่นั่นเองครับลาวฝ่ายขวา หมายถึง ชาวล้านนา ที่อาศัยอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงลาวฝ่ายซ้าย หมายถึง ชาวลาวล้านช้าง ที่อาศัยอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง นั่นเองครับในที่สุด เราก็ได้คำตอบแล้วครับว่า ในสมัยโบราณ มีการเรียกขานชาวล้านนาว่า ลาว อยู่จริง และยังเรียกขานต่างไปจากชาวล้านช้างด้วย คือ จะเรียกชาวล้านนาว่า ลาวพุงดำ และเรียกชาวล้านช้างว่า ลาว หรือ ลาวพุงขาว ตามรูปแบบของรอยสักนั่นเอง และคำว่า ลาวฝ่ายซ้าย นั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมืองแต่อย่างใด แต่หมายถึง ถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวลาวที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงครับอย่างไรก็ตาม ยังมีการขยายความไว้ว่า ในสมัยโบราณนั้น ชาวล้านนา ก็เรียกตัวเองว่า ลาว ด้วย ซึ่งแท้จริงแล้ว คำว่า ลาว มีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า กษัตริย์ ในภาษาภาคกลาง ส่วนคำว่า คนเมือง สันนิษฐานว่า เพิ่งเริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองใน มณฑลพายัพ อาจด้วยเหตุผลด้านการเมือง ในเรื่องของลัทธิล่าอาณานิคมจากตะวันตก ซึ่งหากยังคงเรียกขานชาวล้านนาว่า ลาว ต่อไป อาจทำให้ฝรั่งเศสผนวกรวมดินแดนล้านนาเข้าเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสได้ โดยอาศัยข้ออ้างว่า เป็นลาวเหมือนกัน ในเรื่องเกี่ยวกับการล่าอาณานิคมของตะวันตกนี้ ยังมีหลักฐานเพิ่มเติมอีกว่า ได้มีการเปลี่ยนการเรียกนามกษัตริย์ล้านนาใหม่ จาก มัง เป็น เม็ง เช่น พญามังราย เป็น พญาเม็งราย ด้วยคำว่า มัง นี้ทางพม่าก็ใช้เรียกกษัตริย์ของตนเองอยู่ เช่น พระเจ้ามังลอก, พระเจ้ามังระ ด้วยเกรงว่า อังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมที่ครอบครองดินแดนในพม่าอยู่ จะใช้เป็นข้ออ้างในการผนวกรวมดินแดนล้านเป็นอาณานิคมของอังกฤษไปด้วยนอกจากเพลง ลูกข้าวนึ่ง แล้ว ยังมีอีกเพลงที่บอกเล่าวัฒนธรรมชาวเหนือได้อย่างน่าสนใจ นั่นคือเพลง สาวเชียงใหม่ ในท่อนที่ร้องไว้ว่า "เปิ้นบอกว่าจะมาขอ ข้าเจ้าก่รอมาแล้วเป๋นปี๋ป้อแม่ท่าปู๋สะลี อ้ายบ่าวตั๋วดีหายแซบหายสอย""ป้อแม่ท่าปู๋สะลี" แปลเป็นภาษาไทยภาคกลางได้ว่า พ่อ แม่ รอปูที่นอนทำไมต้องรอปูที่นอน? การปูที่นอนเป็นพิธีอย่างหนึ่ง ในงานแต่งงานของชาวเหนือนั่นเองครับ ก่อนจะมีพิธีแต่งงาน ทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีการตระเตรียมบ้านของตนเองให้พร้อมเป็นเรือนหอ เนื่องจากประเพณีของชาวล้านนา เมื่อแต่งงานกันแล้ว ฝ่ายชายต้องย้ายไปอยู่เรือนของฝ่ายหญิง ดังนั้น ทางฝ่ายหญิง จึงต้องมีการเตรียมห้องหอ มีการปูที่นอน เพื่อรอบ่าวสาวมาอยู่เรือนนั่นเองเรื่องของประวัติศาสตร์ในเพลงนั้นยังมีอีกมากมาย อย่างเช่น เพลงลาวดวงเดือน หรือ เพลงไทดำรำพัน ก็แฝงไว้ด้วยความหมายในประวัติศาสตร์เช่นกัน หากมีโอกาสจะได้มานำเสนอให้ได้อ่านกันอีกครับ อ้างอิงเจ้าพระยาทิพากรณ์วงศ์, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (ห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ)ต่างเผ่า อย่าเหมารวม! ความต่างของลาวพุงขาว – ลาวพุงดำ (เชียงใหม่นิวส์)หลัง พ.ศ. 2400 คนล้านนาเรียกตัวเองว่า“คนเมือง” แต่ก่อนหน้านั้นทำไมเรียกว่า“ลาว” (นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม) ประเพณีกินแขกแต่งงาน (ศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)จรัล มโนเพ็ชร (Wikipedia)ภาพหอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ล้านนา ถ่ายโดยผู้เขียนบทความ เมื่อ 28/10/2018