ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่หน้าฝนแล้วแต่สภาพอากาศก็ยังคงร้อนอบอ้าว อ้าวถึงขนาดอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำใหม่ๆ เช็ดตัวยังไม่ทันแห้งเหงื่อก็พลันไหลท่วมตัวไปหมดแล้ว เลยต้องหาอะไรเย็นๆ กระแทกปากซะหน่อย อะไรที่จะดับร้อนได้ดีไปกว่า "น้ำแข็งใส" ลาดด้วยน้ำแดงหวานๆ นมข้นตาม โอ้ย....มันช่างสดชื่น หวานหอมแบบชื่นใจ ผมนั่งกินไป เพ่งพินิจเกล็ดใสๆป่นๆ ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำหวานสีแดงก็พลันเกิดคำถามในใจขึ้นมาว่าน้ำแข็งก้อนแรกที่เข้ามาในสยามประเทศนั้นเป็นมาอย่างไร ? ผมลองค้นข้อมูลดูโอ้โห้...ต้องตกใจเพราะน้ำแข็งถูกนำมาใช้ประโยชน์กว่า 1,000 ปี โดยใช้น้ำแข็งจากธรรมชาติ เช่น ลูกเห็บ เกล็ดหิมะ น้ำแข็งย้อยและธารน้ำแข็ง โดยใช้แช่อาหารเพื่อยืดอายุการใช้งาน ในส่วนของประเทศไทยได้มีการนำเข้าน้ำแข็งจากประเทศ สิงคโปร์ ในสมัยช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ราวๆ พ.ศ. 2405-2411 โดยเรือกลไฟชื่อ "เจ้าพระยา" ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 15 วัน ต่อ 1 เที่ยว เป็นอะไรที่ยาวนานมากถ้าเทียบกับการขนส่งในปัจจุบัน แล้วน้ำแข็งที่ส่งมาจะไม่ละลายหมดไปเสียก่อนหรือ? แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่าท่านมีวิธีในการถนอมก้อนน้ำแข็งให้คงสภาพไว้ได้โดยใส่น้ำแข็งลงในถังและกลบด้วยขี้เลื้อยเพื่อที่จะรักษาความเย็นไว้ ในสมัยก่อนน้ำแข็งเป็นอะไรที่หายากมากๆ ราคาแพงและไม่เป็นที่แพร่หลาย บุคคลส่วนมากที่จะได้ลิ้มรสชาติอันเย็นจี๊ดต้องเป็นระดับเจ้านาย เชื้อพระวงศ์หรือข้าราชการเท่านั้น จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 นายเลิศ เศรษฐบุตร (เจ้าของเดียวกับรถเมล์นายเลิศ หรือ ขสมก. ในปัจจุบัน) ได้ตั้งโรงน้ำแข็งขึ้นใช้ชื่อว่า "น้ำแข็งสยาม" ตั้งอยู่ที่ย่านสะพานเหล็กล่าง แต่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า "โรงน้ำแข็งนายเลิศ" ถึงจะผลิตเองได้แล้วก็ยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับชาวบ้านสักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากไม่มีใครกล้ากินถึงกับมีการห้ามเด็กๆ กินน้ำแข็งกันเลยทีเดียวด้วยเหตุผลว่ากินแล้วมันร้อน (น่าจะหมายถึงร้อนใน) น้ำแข็งได้รับความนิยมมากขึ้นในปี พ.ศ. 2432 เมื่อมีการตีพิมพ์โฆษณาน้ำแข็งลงในหนังสือพิมพ์ "บางกอกไตมส์" ในราคาปอนด์ละ 4 อัฐ หลังจากนั้นวัฒธรรมการกินน้ำแข็งเริ่มแพร่หลาย ขนาดดื่มเบียร์ยังต้องใส่น้ำแข็ง บางคนติด เช่นผมนี่แหละ ถ้าดื่มน้ำเปล่าโดยไม่มีก้อนน้ำแข็งอยู่ในแก้วละก็เหมือนไม่ได้ดื่มน้ำ มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง ยกมือขึ้น..... รูปภาพปกจาก : www.pixabay.com / รูปภาพประกอบที่ 1 / รูปภาพประกอบที่ 2 / รูปภาพประกอบที่ 3