พ่อแม่หลายคนคงกังวลกันก่อนเดินทางไปต่างประเทศกับเด็ก ไหนจะเอกสารการเดินทาง น้ำ นม อาหาร รถเข็นเด็ก อื่น ๆ อีกมากมายเลยค่ะ ทริปนี้เป็นทริปต่างประเทศครั้งแรกของเด็ก ๆ ค่ะ พี่คนโต 7 ขวบ นี่จะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ นับถอยหลังรอวันขึ้นเครื่องบิน ส่วนคนน้อง 4 ขวบนั้น ไม่สนใจใด ๆ แม่ค่อนข้างกังวลเลยทีเดียว เพราะเป็นทริปแรกที่เดินทางไปต่างประเทศกับเด็กสองคน (คุณพ่อไปทำงานที่สิงคโปร์ก่อนแล้ว) ภาพที่ 1 : เด็ก ๆ ไปเล่นที่สวนสาธารณะใกล้โรงแรมทุกวันเลยค่ะ ร่มรื่น อากาศดี มีเด็กมาเดินเล่นกันหลายคนเลยสิงคโปร์เรียกว่าเป็นประเทศ Kids friendly ได้เลยค่ะ เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่างที่เอื้อกับเด็ก คนแก่ คนที่ต้องนั่งรถเข็น และคนพิการ ทางเท้า ลิฟต์ สถานที่ต่าง ๆ รองรับการใช้รถเข็น แต่ค่าเข้าสถานที่เที่ยวต่าง ๆ และร้านอาหารบุฟเฟต์นี่คือเด็กโดนชาร์จหมด ในราคาเด็กนะคะ ในขณะที่ไทยแลนด์บางร้านน้องคนเล็กนี่คือยังเข้าทานฟรีได้อยู่ค่ะ น้องเล็กนี่คือเสียหายไปหลายบาท แต่ไม่ทาน และไม่เล่นอะไรเลยเดินทางกับเด็ก โดยเฉพาะกับเด็กที่ยังนั่งรถเข็นเด็ก ส่วนมากจะเป็นผู้โดยสาร Priority ก่อนขึ้นเครื่องบินเจ้าหน้าที่จะเรียกเราไปก่อน พร้อมกับผู้โดยสาร First class แจ้งเราว่าจะต้องพับรถเข็นวางไว้ตรงไหน พอ Landing แล้วก็รอรับรถเข็นได้ที่ทางออกจากประตูเครื่องเลยค่ะ ทั้งนี้จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ตอนเช็กอินกับสายการบินนะคะ ว่าเราต้องการโหลดรถเข็นที่หน้าเครื่องห้องพักที่สิงคโปร์ห้องพักส่วนมากมีขนาดเล็กมาก ๆ เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด กระเป๋าเดินทางเลยต้องไปอยู่ใต้เตียง จับทุกอย่างยัดไว้ใต้โต๊ะเก้าอี้ให้หมดค่ะ รถเข็นเด็กพับเก็บไว้ตามมุมห้อง น้ำก็อกสามารถดื่มได้ เก็บขวดน้ำดื่มไว้เติมได้ค่ะ เพราะที่สิงคโปร์น้ำแพง ตู้เย็นเล็กมาก และไม่ค่อยเย็น ห้องน้ำแคบมาก เดินทางกับเด็กเข้าใจว่าของเยอะค่ะ แต่อะไรที่ไม่จำเป็นจริง ๆ พักไว้ก่อนค่ะ เพราะจะไม่มีที่เก็บ ของแม่ไป 8 วัน เอาเสื้อผ้าไปกันคนละ 4 ชุด เลือกเสื้อผ้าที่สามารถเอาเข้าเครื่องอบผ้าได้ไปค่ะ แล้วก็ไปซักอบเอาที่นู่น ไม่มีที่ตากใด ๆ นะคะ แค่ที่จะนอนยังไม่พอ 😂 เสื้อผ้าทุกชิ้นอบโลดค่ะรถเข็นเด็ก พอรู้ชัวร์แล้วว่าเราจะได้ไปสิงคโปร์กัน โดยที่เราสามแม่ลูกต้องไปเที่ยวกันเองซะส่วนใหญ่ (คุณพ่อไปทำงาน) เราจึงถอยรถเข็นเด็กมือสองมาค่ะ แม่คิดแล้วว่าพี่คนโตไม่น่าจะเดินไหวแน่ ๆ เลยต้องหาตัวช่วยค่ะ ซึ่งก็ช่วยได้เยอะ และได้ดีทีเดียว แม่ปลื้มรถเข็นคันนี้มาก ๆ ค่ะภาพที่ 2 : พี่ง่วงค่ะ ขอนั่งหน้าบ้าง แต่น้องผู้นั่งด้านหลังก็คือจะพิงหลังด้วย ตบตีกันทุกวันเรื่องที่นั่ง สรุปพี่เสียสละฟุบหลับค่ะ รถเข็นเด็กที่ซื้อมาเป็นแบบนั่งได้สองคน หันหลังชนกัน รถเข็นใหญ่ และหนัก ที่นั่งด้านหน้าเอนนอนได้แต่ไม่ได้รองรับหัว ที่นั่งด้านหลังพิงหลังไม่ได้เพราะจะไปชนกับคนข้างหน้า ก็ต้องจับให้หันหัวคนละทางค่ะจะได้พิงได้บ้าง และหัวไม่ชนกัน ด้านหลังนี่มีที่ยืนเกาะด้วยค่ะ จะยืนเกาะมองไปข้างหน้า หรือนั่งหันหลังก็ได้ เด็ก ๆ ทะเลาะกันทุกวันเรื่องที่นั่ง และหัวชนกัน สรุปไม่ได้ว่าใครจะนั่งตรงไหน ใต้ท้องรถใส่ของได้เยอะค่ะ ข้อดีของการที่ลูกยังนั่งรถเข็นคือ ที่สิงคโปร์เค้าจะให้สิทธิ์เด็กเล็กในรถเข็น คนนั่งรถเข็น และคนพิการก่อนค่ะ อันที่จริงเราสบายตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะ เจ้าหน้าที่สนามบินให้เราไปใช้ช่อง Fast Tract ซึ่งเป็นทางราบเข็นรถเข็นไปได้ยาว ๆ เลยค่ะ ตามที่ท่องเที่ยวถ้าเราไปต่อคิวด้วยรถเข็นเด็ก เราจะได้สิทธิ์ขึ้นลิฟต์ก่อน หรือขึ้นกระเช้าก่อนค่ะ ภาพที่ 3 : เอารถเข็นขึ้นกระเช้าด้วยจ้า ไป Sentosa กันตอนเช็กอินกับสายการบินสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยนะคะว่าขอโหลดรถเข็นเด็กที่หน้าเครื่อง เค้าจะติด Tag ไว้ที่รถเข็นด้วยค่ะ และตอนรับรถเข็นเด็กก็รับหน้าเครื่องเหมือนกันค่ะ ทางเดินในสนามบินค่อนข้างไกลเหมือนกันนะคะ มีรถเข็นอุ่นใจกว่าค่ะ เผื่อเด็ก ๆ เดินไม่ไหว หรือให้เด็กนั่งเป็นที่เป็นทางไม่วุ่นวายในยุคโควิดค่ะนมกล่อง (UHT)ตอนแรกกังวลมากค่ะว่าลูกจะมีนมดื่มบนเครื่องมั้ย เพราะน้องคนเล็กยังติดนมอยู่ค่ะ แต่แม่ก็พกใส่กระเป๋าไปก่อนค่ะ 2 กล่อง (กล่องละ 250 ml.) คิดตอนแรกว่าอย่างมากก็ทิ้ง ปรากฎว่าผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ เข้าเครื่องสแกนเรียบร้อย รอรับของได้เลย ไม่มีติดปัญหาใด ๆ สรุปว่านมกล่องของเด็กสามารถนำขึ้นเครื่องได้นะคะ มีพกนมกล่อง (UHT) ไปส่วนนึงจากที่ไทยค่ะ โหลดใส่กระเป๋าเดินทางไป เพราะกลัวว่าน้องจะทานนมที่สิงคโปร์ไม่ได้ แต่สุดท้ายสบายมากค่ะ แวะซื้อนมเมจิ (นมพาสเจอร์ไรส์) ที่เซเว่นดื่มเวลาอยู่ที่โรงแรม และก่อนนอน เหมือนของที่ไทยเลยค่ะ ส่วนนมกล่อง (UHT) ที่พกไปจากไทยคือเอาไว้ทานเวลาออกไปเที่ยวค่ะ Application ที่ควรมีติดโทรศัพท์เมื่อไปสิงคโปร์ที่พักของเราไม่ได้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟค่ะ ดังนั้นยานพาหนะของเราคือ "แท็กซี่" นั่นเอง เปลืองมากจ้าแม่จ๊า แต่ก็สะดวกมากด้วย เพราะเราไปกันสามคนแม่ลูก พร้อมรถเข็นเด็กคันใหญ่ และกระเป๋าเป้สัมภาระเด็ก อันที่จริงบางสถานที่ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ app เรียกแท็กซี่ค่ะ สถานที่ต่าง ๆ ส่วนมากจะมีจุดรอแท็กซี่ให้อยู่แล้ว เดินตามป้ายไปค่ะ ถ้าเป็นที่ห้างส่วนมากจุดรอแท็กซี่ก็จะอยู่หน้าห้าง ต่อแถวไปค่ะ รอให้ถึงตาเรา แต่ถ้าเราเรียกแท็กซี่ให้มารับตอนอยู่ห้าง เค้าก็จะมีอีกจุดใกล้ ๆ กันให้รอรถมารับค่ะ ภาพที่ 4 : แอพที่ใช้ตอนอยู่สิงคโปร์ค่ะCDG Zig - เป็นแอพเรียกแท็กซี่ค่ะ ใช้ง่าย สะดวก เรียกได้ทุกเมื่อ เด็ก ๆ ขึ้นได้เลยค่ะไม่ต้องมีคาร์ซีท จะผูกบัตรเครดิต, แตะบัตรเครดิตจ่าย, Multi-currency wallet, หรือเงินสด ได้หมดค่ะGRAB - จะสั่งอาหาร หรือเรียกรถได้หมด สะดวกเหมือนกันค่ะ แต่ถ้ามีเด็ก เรียกรถต้องเลือกให้ถูก Type คือเป็นแบบ Family เค้าจะมาพร้อมคาร์ซีท เป็นกฏข้อบังคับของบ้านเมืองเค้า โดนมากับตัวแล้วค่ะ ก็ยกเลิกกันไป Klook - เป็น app ที่ใช้ซื้อค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ แบบออนไลน์ และราคาถูกกว่าไปซื้อหน้างานค่ะ แต่บางสถานที่หน้างานถูกกว่าค่ะ เช็คก่อนซื้อนะคะ แต่ถ้าแลกกับการที่ไม่ต้องต่อคิวแม่ยอมจ่ายแพงกว่านิดหน่อยค่ะ จัดออนไลน์ไปเลยKKday - เป็น app ที่ใช้ซื้อค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ แบบออนไลน์เหมือนกันกับ Klook ค่ะ ลองเทียบราคากันดู 2 app นี้ค่ะ***ผูกบัตรเครดิตเพื่อซื้อค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ ผ่าน Klook และ KKday จะต้องใช้ OTP จากบัตรเครดิตด้วย อย่าลืมเปิดบริการข้ามแดนอัตโนมัติเพื่อรับ SMS กันด้วยนะคะ รับแต่ SMS ไม่เสียเงินค่ะ (DTAC)***การใช้บัตรเครดิต และเงินสดดอลลาร์สิงคโปร์แทบจะทุกที่ในสิงคโปร์ที่รับบัตรเครดิตค่ะ แม้แต่รถแท็กซี่ บางที่ขึ้นป้ายด้วยซ้ำว่า Cashless น่าจะพวกร้าน Local ค่ะที่น่าจะยังรับเป็นเงินสดอยู่ ขออภัยค่ะไม่ได้ไปร้าน Local เลยไม่มีข้อมูลข้อนี้ค่ะ บัตรเครดิตยุคนี้น่าจะเปลี่ยนเป็นแบบ Contactless card กันหมดแล้ว หากใครยังไม่มีให้รีบเปลี่ยนก่อนเดินทางนะคะ จะได้ใช้บัตรได้แบบสบาย ๆ เลย แค่แตะบัตรเพื่อจ่ายค่ะ แต่การใช้บัตรเครดิตเราจะโดนค่าธรรมเนียม "ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน ไม่เกิน 2.5% ของยอดค่าใช้จ่าย" ด้วยนะคะYouTrip คืออีกทางเลือกนึงของการใช้เงินที่ต่างประเทศ เค้าเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลรองรับหลายสกุลเพื่อการเดินทาง (Multi-Currency Travel Wallet) ที่มาพร้อมกับบัตรเติมเงินแบบ Contactless Mastercard สามารถใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศมากกว่า 150 สกุลเงินด้วยเรทที่ดีกว่า ไม่มีค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการใช้จ่าย และการใช้บริการ วิธีการใช้ก็ง่ายมากค่ะ เมื่อได้บัตรมาให้เปิดบัตรผ่าน Application YouTrip และเชื่อมต่อกันกับ Application K PLUS สามารถ Top up เงินจากบัญชีกสิกรเข้ามาในบัตร แล้วแลกเงินจาก THB ไปเป็น SGD ได้เลยค่ะ หลังจากการแตะใช้บัตรจะมี Alert จาก app เข้ามาแจ้งยอดตลอด แลกคืนก็ได้เมื่อจบทริป ที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน ไม่เกิน 2.5% ไม่ต้องถือเงินสดเยอะ ๆ บัตร YouTrip สะดวกสุดค่ะ ภาพที่ 5 : บัตร YouTrip ที่เอาไปใช้ สะดวกสบายมากค่ะแม่แลกเงินสดไปนิดหน่อยค่ะ แลกไปเป็นขวัญกระเป๋าสตางค์ และจัดการใช้ให้เรียบ ไม่เหลือแม้แต่เศษเหรียญก่อนกลับไทยแลนด์ 555Sim Cardแม่ซื้อ Sim Card ก่อนเดินทางไม่กี่ชั่วโมง ผ่าน KKday ในราคา 258 บาทค่ะ เป็นของ StarHub 100GB 7 วัน รายละเอียดการรับ Sim Card ตามใน app เลยค่ะ วันที่แม่ไปคือแถวยาวมาก แล้วคุณป้าที่เคาน์เตอร์คือไม่ใส่ซิมให้ด้วยค่ะ (แต่ฉันอ่านรีวิวมาแล้วนะ ว่าเค้าจะใส่ซิมให้ บริการดีมาก คุณหลอกดาว😭) หลังจากหาทางใส่ซิมเองแล้ว ก็ยังไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ต และโทรออกได้ เลยคลายเครียดด้วยการพาลูกไปดูน้ำพุ The Rain Vortex ค่ะ 😂 เดินวนหาทางใช้งานซิม โดยฉันผู้ซึ่งเข็นรถเข็นเด็กที่มีลูกทั้งสองง้องแง้งง่วงนอน และหิวข้าว พร้อมกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ จนเหลือบไปเห็นเคาน์เตอร์ StarHub คุณน้องผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้มหลังเคาน์เตอร์ช่วยเหลือตั้งค่าโทรศัพท์ให้ และแม่ขอให้เค้าช่วยเรียกแท็กซี่ให้ด้วยค่ะ เค้าก็ถามเราก่อนค่ะว่าโอเคกับราคานี้มั้ย แล้วเค้าก็คิดเงินค่าแท็กซี่ ออกใบเสร็จให้เรียบร้อย บอกทางว่าต้องไปรอรถตรงไหน เสาที่เท่าไหร่ พร้อมกับจดทะเบียนรถที่จะมารับให้ด้วยค่ะ เริ่ดมากแม่!!! (ก่อนตกลงที่ราคานี้คือถามจากคุณพ่อผู้เดินทางมาก่อนแล้วว่าราคาประมาณนี้ค่ะ)อาหารเด็กอาหารเด็กบนเครื่องบิน เด็ก ๆ ไม่แตะกันเลยค่ะ ทานไปแต่ขนมปัง ภาพที่ 6 : ซดซุป Bak Kut Teh มันอร่อยมากหม่าม๊าพี่คนโตทานได้ทุกอย่างแล้ว ไม่ห่วงเลยค่ะ เอ็นจอยอาหารทุกอย่าง ซุปกระดูกหมู Song Fa กินไป 3 มื้อได้ อร่อยมากเวอร์สำหรับเค้า ถึงแม้จะเผ็ดพริกไทยก็ยอมทาน ได้ลอง Bak Kut Teh กฺ็คือซดน้ำซุปหมดถ้วย เสี่ยวหลงเปาก็ไม่พลาด กินทุกอย่างจริง ๆ แต่น้องคนเล็กนี่คือปัญหาหลักค่ะ ชีวิตคุณเค้าทานได้หลัก ๆ 3 อย่างถ้วน คือ นม, หมูหยองกับข้าว, และหมูปิ้งกับข้าว แม่พกหมูหยองไปค่ะ ไปหาข้าวเอาข้างหน้า ทานบ้างทิ้งบ้าง เอาไปใช่ว่าจะกินนะคะ 555 คุณน้องเค้าไปติดใจคุ๊กกี้ช็อคโกแลต Chips more ก็คือคุ๊กกี้ทั้งวันค่ะ อยู่ได้ด้วยสิ่งนี้ พอดีได้มีโอกาสผ่านร้านอาหารไทย เลยลองสั่งหมูปิ้งให้คุณเค้า 3 ไม้ ราคาประมาณ 180 บาท (แม่จะเป็นลม) แต่คุณน้องเค้าทานได้ก็โอเคค่ะ เราไปทานข้าวกันที่ Food Court, The Shoppes ที่ Marina Bay Sands คุณพ่อเค้าเดินวนหาอะไรกิน ไปเจอกับปีกไก่ย่างเด็ดมาก กรอบนอกนุ่มใน หอม อร่อย ให้คุณน้องเค้าลองดมกลิ่น และชิม ปรากฏว่าคุณน้องเค้าชอบมากค่า จบไปได้อีกมื้อจ้าสิ่งที่เรากลัวไปก่อน บางครั้งก็ไม่ได้แย่เสมอไปนะคะ เด็กเค้าปรับตัวเก่งค่ะ ถึงแม้ลูกคนเล็กจะไม่ค่อยอยากลองทานอะไรใหม่ ๆ แต่อย่างน้อยก็ลองทานคุ๊กกี้ Chips more, ปีกไก่ย่าง, ข้าวมันไก่สิงคโปร์, นักเก็ต และดำเนินชีวิตได้ด้วยคุ๊กกี้ กับอาหารที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่เกินห้าคำ ถึงจุดนึงมีอะไรให้กินก็ต้องกินนะลูกนะ เดินทางกับเด็กไม่ได้น่ากลัว หรือต้องกังวลอะไรเท่าไหร่นะคะ จริง ๆ เราก็ปล่อยไหลไปบ้าง พาลูกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ กินอาหารอีกแบบ แต่ก็ต้องเตรียมของเยอะจริงค่ะ เอาไปเผื่อบ้าง ถ้าขนไหว ไปหาเอาข้างหน้าบ้าง ให้ได้ลองสิ่งใหม่ ทุกคนแฮปปี้ตั้งแต่ไปจนกลับเลยค่ะ ขอไปปั้มเงิน เตรียมตัวสำหรับทริปหน้าก่อนนะคะ😉เครดิตภาพ :- ภาพปกโดย Wonderland (ผู้เขียน)- ภาพที่ 1 - 6 ถ่ายโดย Wonderland (ผู้เขียน)#เดินทางไปสิงคโปร์กับเด็ก2022 #ไปสิงคโปร์กับเด็ก #เที่ยวสิงคโปร์กับเด็ก #ไปสิงคโปร์2022 #เที่ยวสิงคโปร์ #YouTrip #บัตรYouTrip #ขึ้นเครื่องบินกับเด็ก #รถเข็นเด็กขึ้นเครื่องบิน #แม่และเด็ก #เด็กขึ้นเครื่องบิน🗺 แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”