สำหรับใครที่กำลังจะเดินทางไป work and travel หรือกำลัง work and travel อยู่ก็ตาม วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของเรื่องพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนไป work and travel ที่สหรัฐอเมริกากันค่ะ โดยเราจะแบ่งเป็น 4 หัวข้อใหญ่ ๆ ค่ะค่าเงิน เงินของสหรัฐอเมริกามีสกุลเป็นดอลลาร์สหรัฐอเมริกา โดย 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา(USD) จะเท่ากับประมาณ 33-34 บาทแล้วแต่ช่วงเวลาค่ะ ธนบัตรของสหรัฐอเมริกาจะมีทั้งหมด 7 ชนิดค่ะ แบ่งเป็น 1 ดอลลาร์, 2 ดอลลาร์, 5 ดอลลาร์, 10 ดอลลาร์, 20 ดอลลาร์ , 50 ดอลลาร์, 100 ดอลลาร์ค่ะ เวลาแลกเงินแนะนำว่าควรแลกไปหลายๆชนิดค่ะ เช่น ถ้าจะแลกเงินไป 1000 ดอลลาร์ ควรแบ่งเป็น 100 ดอลลาร์ 5 ใบ 50 ดอลลาร์ 6 ใบ 20 ดอลลาร์ 6 ใบ 10 ดอลลาร์ 7 ใบ และ 1 ดอลลาร์ อีก 10 ใบประมาณนี้เป็นต้นค่ะ ในส่วนของเหรียญนั้นมีทั้งหมด 7 ชนิดเหมือนกันค่ะ คือ เหรียญ 2 ดอลลาร์, 1 ดอลลาร์, 50 เซ็นต์ (Half Dollar), 25 เซ็นต์ (Quarter), 10 เซ็นต์ (Dime), 5 เซ็นต์ (Nickel) และ 1 เซ็นต์ (Penny) โดย 100 เซ็นต์ เท่ากับ 1 ดอลลาร์ค่ะ แต่แนะนำว่าไม่ต้องแลกเป็นเงินสดไปเยอะนะคะ แนะนำให้พกบัตรแล้วแลกเงินไว้ในบัตรมากกว่าค่ะ บัตรที่ยอดฮิตก็จะมี SCB planet ของธนาคารไทยพาณิชย์กับ youtrip ของธนาคารกรุงไทย เนื่องจากสะดวกแลกเงินได้เร็วไม่พบปัญหาเมื่อนำไปใช้ เมื่อได้บัตรแล้วอย่าลืมเปิดใช้งานบัตรด้วยนะคะระบบขนส่งสาธารณะ ในส่วนของระบบขนส่งก็จะแบ่งเป็น 2 หัวข้อใหญ่ๆ คือ การเดินทางภายในรัฐ กับ การเดินทางระหว่างรัฐ1. การเดินทางภายในรัฐ การเดินทางที่นิยมมากที่สุดก็จะเป็นการเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าใต้ดินที่เรียกว่า Metro หรือ Subway เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก ราคาถูก ครอบคลุมเกือบจะทุกพื้นที่ เหมาะสำหรับการเดินทางคนหรือจะเดินทางเป็นกลุ่มก็ได้ค่ะ แต่จะมีเฉพาะในแค่บางรัฐเท่านั้นนะคะ เช่น New York, Chicago, และ Boston เป็นต้นค่ะ ส่วนข้อเสียนะคะถ้าใครเดินทางตอนกลางคืนเรารู้สึกว่ามันอาจจะอันตรายไปหน่อย หากจำเป็นต้องเดินทางตอนกลางคืนจริง ๆ อยากให้เลือกเป็นวิธีอื่นค่ะUber และ Lyft เป็นการเรียกรถโดยใช้แอปพลิแคชันมีลักษณะคล้ายกับการเรียก Grab ของบ้านเราค่ะ แน่นอนว่าเป็นวิธีการเดินทางที่ปลอดภัยแน่นอนทั้งกลางวันและกลางคืน ราคาก็จะสูงขึ้นมาหน่อยเมื่อเทียบกับราคาของรถไฟฟ้าใต้ดินค่ะ แต่ว่าถ้าใครอยู่ในเมืองที่เรียก Uber และ Lyft ยากก็สามารถเรียกเป็น Taxi แทนได้ค่ะ แต่ว่าอย่าลืมคุยกับคนขับรถเรื่องราคาดี ๆ นะคะ เพราะอาจจะเจอ Taxi ที่เหลี่ยมเยอะก็ได้ค่ะBus หรือรถเมล์ค่ะ เป็นอีกวิธีที่นิยมมากพอสมควรราคาถูกและทั่วถึงทุกพื้นที่ พบเห็นได้ทั่วไปค่ะ แต่ถ้าใครไปช่วงที่เวลาเร่งรีบเราไม่ค่อยแนะนำนะคะ เพราะว่ารถจะจอดทุกสถานีหากใครต้องการที่จะเดินโดยวิธีนี้ควรเผื่อเวลาไว้หน่อยนะคะ และสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะควรตรวจสอบให้ดี ๆ ว่าเราขึ้นรถถูกฝั่งหรือไม่ เมื่อขึ้นรถไปแล้วก็ควรเปิด google map ดูควบคู่ไปด้วยค่ะ2. การเดินทางระหว่างรัฐAmtrak เป็นรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ในการเดินทางระหว่างรัฐเป็นวิธีการเดินทางที่ใช้เวลานานพอสมควร แต่ว่าราคาไม่แพงและยังได้ชมวิวธรรมชาติสวย ๆ ตลอดทั้งการเดินทางอีกด้วย ทั้งนี้ยังมีบริการอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย สะดวกสบายไม่เหมือนรถไฟบ้านเราแน่นอนค่ะเครื่องบิน เป็นวิธีพื้นฐานเลยค่ะสำหรับการเดินทางด้วยเครื่องบิน ใช้เวลาไม่นาน เรื่องที่ต้องสังเกตดี ๆ ก็คือน้ำหนักกระเป๋า ขนาดกระเป๋าและจำนวนกระเป๋าค่ะ เพราะถ้าหากเกินที่กำหนดก็จะมีการเก็บค่าบริการเพิ่มเติมค่ะ tax หรือภาษีต่างๆ ใครที่กำลังจะไป work and travel จะต้องเคยเห็นคำว่า "tax free" หรือ "ปลอดภาษี" อย่างแน่นอน แต่ทุกคนเคยสงสัยมั้ยคะว่า tax อะไรที่ฟรีแล้วมันดียังไร วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยกันค่ะ โดยปกติแล้วทุกคนที่ไป work and travel จะต้องเสียงภาษีหลัก ๆ อยู่ 3 อย่างค่ะ คือ federal Income tax , state income tax และ sale taxfederal Income tax (ภาษีระดับรัฐบาลกลาง) และ state income tax (ภาษีระดับรัฐ) เป็นภาษีที่นิสิต นักศึกษาทุกคนที่ไป work and travel จะต้องเสียอย่างแน่นอน โดยจะโดนหักไปจาก pay check ตั้งแต่แรกเลย แต่ว่าไม่ต้องกังวลไปเพราะว่าภาษีทั้ง 2 ตัวนี้สามารถขอคืนได้ โดย federal Income tax จะขอคืนได้ทั้งหมด แต่ state income tax จะสามารถขอคืนได้บางส่วนแล้วแต่ละรัฐ ซึ่งมี 7 รัฐ ที่ไม่มี state income tax คือ Alaska, Florida, Nevada, South Dakota, Texas, Washington และ Wyomingsales tax (ภาษีการขาย) อธิบายง่าย ๆ เลยก็คือเวลาที่เราไปซื้อของราคาที่ติดอยู่ที่ป้ายไม่ใช่ราคาจริง ๆ ที่เราต้องจ่าย แต่ราคาจริง ๆ ที่เราต้องจ่ายคือราคาสินค้าที่รวมกับ sales tax แล้ว เช่น ซื้อเสื้อที่ New york ราคาป้าย $10 ซึ่ง New york มี sales tax อยู่ที่ 8.52% ดังนั้นราคาที่ต้องจ่ายจริงเท่ากับ 10+(10*0.0852) = $10.852 ในแต่ละรัฐก็จะมี sales tax ที่แตกต่างกันไปค่ะ สิ่งที่สำคัญก็คือ sales tax นี้ไม่สามารถขอคืนได้ ซึ่งมี 5 รัฐ ที่ไม่มี sales tax คือ Delaware, Montana, New Hampshire, Oregon และ Alaska ข้อดีก็คือสามารถซื้อของได้ตามที่ราคาป้ายติดได้เลย โดยคำว่า "tax free" หรือ "ปลอดภาษี" ที่เราเคยเห็นนั้นก็หมายถึงภาษีตัวนี้นั้นเองค่ะสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มี homeless หรือคนไร้บ้านเยอะมากๆค่ะ ยิ่งเมืองใหญ่มากก็จะมีเยอะมาก ดังนั้นหากใครจะไป work and travel แล้วไปเที่ยวคนเดียวก่อนเริ่มงานหรือหลังจบงานเราแนะนำว่าต้องระวังตัวดี ๆ ไม่ควรกลับหลังจากที่ฟ้ามืดแล้วและไม่ควรคุยกับคนแปลกหน้า หากมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือควรแนะนำให้เขาไปขอความช่วยเหลือกับตำรวจแทน ในทางเดียวกันถ้าเราต้องการความช่วยเหลือควรเลือกที่จะขอความช่วยเหลือจากตำรวจก่อนค่ะ ทั้งนี้ขอบอกก่อนเลยว่าที่สหรัฐอเมริกานั้นทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองค่ะ แม้กระทั่งค่ารถเข็นกระเป๋าที่สนาบินก็ต้องเสียเงินจ่าย ยิ่งกว่านั้นก็คือค่าที่จอดรถแพงมากค่ะเครดิตรูปภาพภาพประกอบที่1 โดย PublicDomainPictures จาก Pixabayภาพประกอบที่2 จาก SCB planet/youtrip ภาพประกอบที่3 Uber/Lyft/Metro ภาพประกอบMetro โดย Laurent Bosch จาก PixabayภาพประกอบBus โดย F. Muhammad จาก Pixabayภาพประกอบที่4 อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !