"ฝีเข็มที่บรรจงปักลงบนผ้ากลายเป็นลวดลายหลากสีจนเสร็จสิ้นเป็นผืนผ้านี้"เท่าที่จำความได้เด็กสาวม้งทุกคนละถูกฝึกให้ปักผ้ามาตั้งแต่เด็ก แต่ละคนจะมีฝีไม้ลายมื้อที่แตกต่างกันแล้วแต่คนเป็นแม่ซึ่งเป็นคนสอนว่าจะฝึกลูกให้มีลายปักไปในทิศทางใด "แล้วทำไมถึงต้องปักผ้าด้วยล่ะแม่"คำถามที่คนเป็นแม่ทุกคนคงจะได้ยินบ่อยๆ ย้อนไปในยุคสมัยที่วิถีชีวิตคนม้งยังไม่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาเท่าในปัจจุบันมากนัก ชาวม้งจะนิยมอาศัยอยู่ตามป่าตามเขา ทำไร่ เพาะปลูก เลี้ยงหมู สุนัขไก่ วัว ควาย หรือแม้แต่ ม้า ตามสไตล์ชาวเขา วันๆหนึ่งผ่านไปกับการทำไร่ ทำสวน หาเช้ากินค่ำ ครอบครัวไหนมีสมาชิกเยอะหน่อย ไร่สวนก็เสร็จไวกว่าใครเขา ผลผลิตก็จะได้มากกว่าอีกถ้าขยันมากๆ (นี่จึงเป็นเหตุผลข้อหนึ่งด้วยที่ทำไมถึงนิยมมีลูกชายเพราะผู้ชายแรงเยอะกว่าผู้หญิงมาก สามารถช่วยพ่อแม่ได้มากกว่า) พอฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นไปแล้วซึ่งจะอยู่ประมาณช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม ชาวม้งจะเริ่มเตรียมพืชผัก ฟืน น้ำใส่โอ่ง และหลายๆอย่างที่ใช้ในช่วงปีใหม่ พอช่วงปีใหม่มาถึงจะมีการทำพิธีตามความเชื่อให้บรรพบุรุษคุ้มครอง ตลอดจนขอผีบ้านผีเรือนให้ปกปักษ์รักษาและทำการไล่สิ่งไม่ดีในปีเก่าๆให้หลุดพ้นไป สิ่งที่พิเศษอย่างหนึ่งก็คือ ช่วงปีใหม่ม้งจะนิยม ตำขนมม้ง หรือที่ลายๆคนตั้งชื่อให้ว่า พิซซ่าม้ง แต่ไม่มีเครื่องต่างๆให้เป็นท๊อปปิ้งนะ มีแต่เอาไปผิงไฟให้พองน่ากินแล้วต่อด้วยจิ้มน้ำอ้อยเท่านั้นแหละค่ะ ชอบกันมากในหน้าหนาวได้ฟีลที่ดีสุดๆกับการที่มือถืออะไรอุ่นๆและกินไปด้วย ผิงไฟไปด้วย พูดคุยสนุกสนานกับคนในครอบครัว หรือใครที่ไปจีบสาวช่วงนี้ก็เยี่ยมเลยค่ะ555🤭😅"...แล้วเกี่ยวอะไรกับผ้าปัก...''ขอเเบ่งเป็น 2 หัวข้อ ตามความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้นนะคะข้อ 1 อย่างที่กล่าวมาคือชีวิตคนม้งก็ตามสไตล์ชาวเขา ปีๆหนึ่งหมดไปกับการทำไร่ทำสวน แต่ในระหว่างนั้นสาวๆชาวม้งก็มีการเตรียมชุดสวยๆของเผ่าเอาไว้แล้วนะคะ พวกเธอเตรียมปักรอไว้เนิ่นนานแล้ว หลังจากที่ปักเสร็จเรียบร้อยจะเข้าสู่การเย็บเป็นชุดรอไว้สำหรับปีใหม่เลยค่ะ ส่วนหนุ่มๆชาวม้งคุณแม่จะเป็นคนเตรียมให้ค่ะ เพราะปีๆหนึ่งมีแค่ครั้งเดียวที่จะได้แต่งตัวสวยๆ ไปโยนลูกช่วงและเดินเล่นกับเพื่อนๆ (ขอกระซิบบอกหน่อยว่าหนุ่มสาวชาวม้งยุคก่อนจีบกันช่วงนี้แหละค่ะ สมัยนี้อย่าไปพูดถึงเลย แต่ละคนมีแฟนกันหมดแล้วด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คู่บ่าวสาวที่โยนลูกช่วงด้วยกันเขารู้จักกันมานานแล้วค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนโสดเลย มีบ้างแหละค่ะเป็นปกติ😅)ผ้าปักที่ตั้งใจปักมาทั้งปีพร้อมนำออกมาใช้งานก็วันนี้แหละ งานปีใหม่ม้ง เป็นเหมือนเทศกาลๆหนึ่งไปแล้วสำหรับชาวม้ง ทุกคนตั้งตารอคอยวันนี้ งานประเพณีที่จัดขึ้น เพื่อความสนุกสนาน คลายเครียดจากงานที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี ให้มีกำลังกลับไปสู้และทำงานต่อในปีหน้า เนี่ยแหละชีวิตวนเวียนอยู่แค่นี้ข้อ 2 ยุคสมัยก่อนชาวม้งยังไม่ได้มีการรับเอาวัฒนธรรมของชาติอื่นๆมาใช่มากนัก อาจมีบ้างค้าขายกับ คนจีน คนไทย คนลาว บ้างในบางครั้ง เลยรวมไปถึงในเรื่องของแฟชั่นการแต่งตัวด้วยยุคนั้นไม่มีอะไรมากนัก หลักๆของการแต่งตัวก็ชุดดั้งเดิมของเผ่าเลย มีลายปักบ้างให้ดูสวยงาม ชุดที่เป็นลายปักจะนิยมสวมใส่อย่างมากในหมู่ม้งเขียว ส่วนชุดที่เป็นแค่ผ้าธรรมดาไม่มีลายปัก ตัดเย็บแค่สองสี คือ ดำกับน้ำเงิน จะเป็นของม้งขาว แต่ม้งขาวก็ปักผ้าเป็นและมีชุดที่เป็นลายปักด้วยนะ เพียงแต่ลักษณะที่บ่งบอกให้ทราบก็ตามที่กล่าวมา เพราะม้งมีชุดประจำเผ่าที่สวมใส่อยู่แล้ว เด็กสาวม้งทุกคนเลยถูกสอนให้ปักผ้าเป็น เพื่อในอนาคตออกเรือนไปจะได้เตรียมให้สามีและลูกๆได้ สมัยนั้นใครปักผ้า ทำงานบ้านงานเรือนไม่เป็นนี่คะแนนเป็นศูนย์เลยค่ะ ไม่ผ่านเกณฑ์😅นี่เเหละเรื่องราวจากผืน ทุกๆอย่างมีเรื่องราวหมดเเหละค่ะ ผืนผ้าปักแค่ผืนเดียวสามารถบอกเล่าเรื่องราวจากรุ่นสู่รุ่น ว่าคนรุ่นหลังมีการดำเนินชีวิตกันอย่างไร แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนไปมากแล้วตามยุคสมัย แต่สิ่งดีๆเหล่านี้ก็ยังเป็นความทรงจำและเรื่องราวดีๆให้คนรุ่นหลังได้ฟังถึงความเป็นอยู่ของรุ่นทวดทั้งหลาย ว่าชีวิตเขาไม่ได้สบายเลย ต้องเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ปีหนึ่งมีงานเริงรื่นแค่หนึ่งครั้งไว้เป็นขวัญกำลังใจให้สู้ต่อไปแค่นั้น...แม้ปัจจุบันชีวิตคนบางหมู่บ้าน บางตำบล หรือเเม้แต่จังหวัดจะเปลี่ยนไปมากแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่อีกเยอะที่ทำไร่ทำสวนผสมกับการรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาพัฒนาชีวิตในแต่ละวัน...ผืนผ้าปักจะยังคงเล่าเรื่องราวต่อไป ตามยุคสมัยที่อาจไม่เหมือนเดิม แต่ผ้าผืนนี้จะยังคงเป็นมรดกของคนม้ง และบอกเล่าสิ่งดีๆอีกต่อไป...