ติ้ง ! แสงจากหน้าจอมือถือสว่างวาบขึ้นมา มือที่สั่นเทาค่อย ๆ ไปหยิบมือถืออย่างกังวล ปากเขาสั่นซีด สีหน้าเจือไปด้วยความทุกข์ ใจเขาเต้นแรงผิดปกติ เขาเอามืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้จับมือถือ มาแนบหน้าอก หัวใจเขาเต้นสั่นรัวเกินไปที่เขารับมือไหว เหงื่อผุดพรายเปื้อนใบหน้าของเขา ทั้งที่ห้องนอนของเขาตอนนี้เครื่องปรับอากาศเปิดไว้ที่ 23 องศาเซลเซียส แต่เขากลับร้อนผ่าว ทุรนทุรายอย่างบอกไม่ถูก เขาสูดหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ ตั้งสมาธิของตัวเองให้สงบลง เขาเริ่มเหลือบหน้าไปมองข้อความจากมือถือ ข้อความที่เขียนไว้เป็นไปตามที่เขานึกไม่มีผิด เขาไม่ต้องการสิ่งนี้ แต่เขากลับกำลังต้องเผชิญกับมัน ไม่มีทางที่จะหลีกหนีจากมันได้ ใจเขากลับมาเต้นรัวเร็วอีกครั้ง เขาเหมือนจะหมดอากาศหายใจ เขารีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเองเผยให้เห็นขวดน้ำที่ขาวที่มีปริมาณอยู่ครึ่งขวด ขวดนั้นตั้งอยู่ข้างเสื้อผ้าที่พับอยู่ เขาหยิบขวดน้ำนั้นอย่างรวดเร็ว จนปัดให้เสื้อผ้าตกลงไปกับพื้น เขาพลันไปมองในทันที แต่เขาไม่คิดจะเก็บมันขึ้นมา ถ้าหากเขาไม่รีบดื่มน้ำนี้ภายในหนึ่งนาทีนี้แล้วละก็ เขาคงไม่รอดแน่ เขาปิดประตูตู้เสื้อผ้าบานที่เปิดอยู่เมื่อครู่ดังโครม เขาเปิดฝาขวดน้ำในครั้งเดียว ขว้างฝาให้พ้นไป เขาดื่มมันเข้าไปหลายอึก จนเขาสำลักจนได้ เขาปาดน้ำบริเวณปากให้แห้ง วางขวดน้ำที่เขาดื่มไว้บนโต๊ะที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด เขาเริ่มดีขึ้นบ้าง จึงเดินไปหยิบมือถือกดไปที่ข้อความที่ได้รับเมื่อครู่แล้วตอบลงไปว่า "ได้ครับ" เขาเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะ สมองตื้อทึบ เขานึกทำอะไรไม่ออกแล้วว่าควรทำอะไรต่อไปดี เขาวางมือถือบนโต๊ะทำการบ้านเหมือนเดิม รีบไปที่เตียงนอน แล้วนอนหงายเห็นเพดานห้องที่ขาวโพลนที่แทบไม่มีอะไรน่าสนใจ เขาเอามือมาทาบอกข้างซ้ายอีกครั้ง หายใจหอบเหนื่อย ตาเบิกกว้าง ไม่นานเขาปล่อยให้ตัวเองผล็อยหลับไป ผู้คนทยอยกันมานั่งเป็นวงกลมเรื่อย ๆ ตอนนี้เริ่มมากันครบเกือบทุกคนแล้ว เขานั่งอยู่ใกล้เสา มาได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงละ ตอนที่มีคนในห้องนี้ไม่กี่คน เขารู้สึกสบายใจมากกว่าที่ได้มาถึงก่อนที่จะมีคนมาก ๆ ยิ่งถ้าเขามาคนแรกยิ่งดี เขาไม่ชอบสบตากับผู้อื่น เขาไม่ค่อยอยากพูดคุยกับใครถ้าไม่จำเป็น เขามักประหม่าและทำอะไรไม่ถูกทุกครั้งที่ถูกท่ามกลางคนหมู่มาก เขาไม่ชอบตัวเองเลยที่เป็นแบบนี้ อยากจะให้นิสัยบ้า ๆ หายใจสักที เขาควรจะทำยังไงดี แต่ยิ่งเขารักษาก็เหมือนว่ามันไม่เคยดีขึ้นเลย "ตอนนี้มากันเกือบจะครบแล้วเนอะ งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า"เขาสะดุ้งจากห้วงความกังวลสารพัดสารพัน กลับไปจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาต้องพยายามคุมตัวเองให้เข้าใจในสิ่งที่คน ๆ นั้นพูดให้มากที่สุด เขาเริ่มหยิบสมุดกับปากกาที่พกไว้ในกระเป๋าสะพายตัวโปรดออกมา เขามักชอบจดในทุก ๆ อย่างที่คนอื่นพูด เขาเป็นคนที่ลืมง่าย ถ้าหากได้จดไว้ในสมุดเขาจะสบายใจที่สุดเลย จู่ ๆ ประตูห้องที่เขาอยู่จากที่เปิดอ้าซ่า ตอนนี้มันกลับถูกปิดโดยใครสักคน บ่งบอกว่าสมาชิกในการมาประชุมวันนี้ครบแล้ว เขาหันไปมองคนที่ปิดประตู ปรากฏว่าเป็นบุคคลที่เขาไม่อยากจะเจอเลย คนนั้นเป็นรุ่นพี่สายการเรียนเดียวกับเขา เขาเริ่มหายใจติดขัด หายใจไม่ทั่วท้อง พยายามถอนหายใจแล้วสูดอากาศเข้าไปให้ได้มากที่สุด แต่ตอนนี้สีหน้าเขากังวลมาก แต่เขาต้องพยายามฝืนยิ้มให้กว้างที่สุดต่อคนที่กำลังเดินมาหาเขา ทั้งที่ตอนนี้ใจเขาเต้นแทบจะระเบิด ผู้ที่มานั่งใหม่ข้างเขายิ้มตอบ ยื่นมือไปทางเขา เขายื่นมือตอบ ยิ้มยิงฟันเต็มที่ พร้อมกับเสียงที่เขาไม่พร้อมจะได้ยินทุกครั้ง คือ เสียงการสนทนา "เป็นไงบ้าง ไม่เห็นหลายวันเลยนะน้องพี่" เขายิ้มส่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ "สบายดีครับพี่ อ๋อก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ อยู่หอน่ะ แล้วพี่ล่ะสบายดีไหม" หลังจากที่เขาพรั่งพูดออกไปจนหมด เขารู้สึกเหนื่อยมาก ๆ อยากจะนอนสักตรงนี้เสียให้ได้ พี่คนนั้นตอบกลับอย่างรวดเร็ว "สบายดี โหไม่เบานะเนี่ย เป็นถึงประธานเอก เห็นตอนรับน้องครั้งแรกยังเขินอายอยู่เลย มาไกลมากน้อง ดีแล้ว ๆ คนเราก็ต้องพัฒนากันเนอะ" พี่เขาพูดจบแล้วหันไปพูดกับเพื่อนรุ่นเดียวในอีกฝั่งหนึ่ง รอยยิ้มที่ฝืนอยู่นานค่อย ๆ ย่นเป็นหน้าบูดเบี้ยว วิตกกังวล เขาอยากหนีจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาไม่เคยต้องการตำแหน่งประธานนี่เลย ถ้าไม่ติดว่าในห้องเรียนเขามีเขาคนเดียวเป็นผู้ชาย เขาคงไม่มีทางได้เป็นหรอก "ทำไมต้องตัดสินโดยใช้หลักการนี้ด้วย ผมไม่เคยอยากได้หน้าที่นี้เลย ทำไมต้องบังคับกันด้วย ทำไมกันอะ" เขาได้ปล่อยให้คำถามที่ต้องการคำตอบหลั่งไหลจากความคิดของเขาเท่านั้น โดยที่ไม่มีโอกาสได้เปล่งเป็นเสียงพูดเลยสักครั้ง ตอนนี้ทุกคนในห้องนี้ต่างก็ประชุมกันอย่างตั้งใจ เขาเองก็ตั้งใจฟัง แต่ใจของเขากลับลอยละล่องไปอยู่ที่อื่น คำพูดจากที่เขาได้ยิน เหมือนทะลุหูไปเฉย ๆ ซะอย่างนั้น แต่มือของเขาก็จดทุกอย่างที่ได้ยิน เมื่อมาถึงจังหวะที่มีที่ได้เอ่ยถึงเขาขึ้นมา เขาจึงรู้สึกตัวได้อีกครั้ง "ฟารีส สามารถเป็นพิธีกรให้ได้ไหม เป็นพิธีกรคู่กับอันนา" ตอนนี้หัวใจเขาเต้นระรัวจนแทบจะกระโดดออกมาจากข้างใน หน้าเขาซีดเผือด เนื้อตัวสั่นเทา แต่พยายามคุมตัวเองให้ปกติที่สุด รวบรวมสติและความกล้าตอบกลับไป "แต่เราไม่เคยเป็นพิธีกรมาก่อนเลยนะ ไม่กล้าอะ" เขาพูดไปตามตรงด้วยความกลัว ผู้สนทนาของเขาส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น "ไม่กงไม่กล้าไรกัน นายพูดเก่งจะตาย เหอะน่าลองหน่อย ไม่ลองตอนนี้แล้วจะลองตอนไหน" เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก เหงื่อเริ่มไหลซก สีหน้าเขาไม่ยิ้มเลย ถ้าจะยิ้มเขาก็ยิ้มไม่ออก "แต่เราไม่กล้าจริง ๆ นะ เราชอบประหม่าอะ แล้วอีกอย่างเอเตอร์เทนคนไม่เก่งด้วย เรียกว่าไม่เป็นเลยดีกว่า" อีกฝ่ายสวนกลับมาทันทีทันใด "ไม่เป็นไร ไม่ต้องเอเตอร์เทนอะไรสักหน่อย เป็นแนววิชาการง่ะ แต่กล่าวกำหนดการ แนะนำชื่อคณาจารย์ และประชาสัมพันธ์เล็กน้อย ก็เท่านั้นเอง นายทำได้อยู่แล้วน่า มั่นใจในตัวเองหน่อย ถ้าครั้งนี้นายผ่านไปได้ ครั้งต่อไปนายก็จะทำได้เรื่อย ๆ ไม่แน่นายอาจจะหลงรักมันไปเลยก็ได้นะ ถ้าละทิ้งโอกาสเลยเพื่อน สู้ ๆ เดี๋ยวฉันคอยช่วยให้ แถมมีอันนาพิธีกรขั้นเทพของรุ่นเราแล้ว สามารถดึงนายอยู่แล้วล่ะ เชื่อสิ" หลังที่ผู้สนทนาฟารีสพูดจบ ฟารีสอยากจะตะโกนให้คนที่ประชุมได้ทราบไปเลยว่า "ผมเป็นแพนิคโว้ย ชอบประหม่าเมื่อประสบคนเยอะ ไม่มีความสุขเลย ณ ช่วงเวลาเหล่านั้นและตอนนี้ด้วย" แต่สิ่งที่เขาต้องตอบกลับไปคือการพยักหน้าและยิ้มรับกับข้อเสนอที่เพื่อนได้เสนอไว้ 20 นาทีต่อมา เสร็จการประชุมทุกคนเริ่มทยอยกันออกไปจากห้องประชุม เขาเขยิบไปในจุดที่ขวางทางเดิน แล้วรอให้อื่นออกไปให้หมดก่อน เขาไม่ชอบสวมรองเท้าต่อหน้าคนเยอะ ๆ เขาไม่มั่นใจว่าเขาสวมได้ถูกหลักการไหม เขาหันไปมองคนแล้วคนเล่าออกไปจากห้องประชุม เขาทำเป็นเล่นมือถือแก้เขิน เวลามีใครมามองเขา และเขามักสบตากับผู้อื่นแค่แป๊บเดียว เมื่อคนเริ่มเบาบางลง เขาคิดว่าเหมาะที่จะกลับหอแล้ว แต่เพื่อนที่เลือกให้เขาเป็นพิธีกรได้คว้าแขนเขาไว้ "เดี๋ยวก่อนฟารีส" จังหวะนั้นเองฟารีสอยากจะทุ่มหน้าเขาสักฉาด แต่แน่ละเขาไม่เคยกล้าที่จะทำแบบนั้น แค่เพียงจะด่าว่าคนยังเกรงใจว่าเขาจะโกรธเรานานไหมหรือตลอดไป ไม่ว่าเขาจะทำถูกหรือทำผิดเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นคนผิดอยู่เสมอ เขาโคตรจะเบื่อความรู้สึกแบบนี้มาก และมันจะไม่มีวันแล้วตลอดไป "ฟารีส ฉันรู้นะเว่ยว่านายเป็นแพนิค" ฟารีสตาเบิกกว้าง ไม่คิดว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากคนที่เขาคุยด้วย ไม่ว่าใครก็ตามแต่เขาคงตกใจและแปลกใจหมดแน่ ๆ "คือฉันขอโทษที่ให้นายเป็นพิธีกรโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่ถ้าฉันบอกล่วงหน้า นายก็คงหาข้ออ้างไม่มาประชุมในวันนี้แน่ ฉันเลยต้องทำแบบนี้ โรคที่นายเป็นอยู่น่ะมันไม่มีวันหายหรอกใช่ไหม นายต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต ซึ่งนายจะหนีมันไม่พ้นหรอก ฉะนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้นายมีความสุขและชนะมันได้ คือ การเผชิญหน้ากับมัน ต่อสู้กับมัน นายอย่าให้อาการของโรคมาครอบงำให้คุณค่าของตัวนายหายไปเลยนะ หายทนได้เหรอที่ตัวเองต้องทนทุกข์ทุกวัน ยอมเสียโอกาสดี ๆ ไปในหลาย ๆ เรื่องทั้งที่จริงนายทำได้ และทำได้ดี แต่เพียงแค่นายกลัว กลัวในช่วงแรก แต่ถ้านายได้ลอผ่านในช่วงแรกของการทำไป นายจะรู้ว่าอาการแพนิคมันจะหายไป การหายใจของนายจะเข้าสู่ภาวะปกติ ความประหม่า ความกังวลจะค่อย ๆ จางไป นายลองทำตามที่ฉันบอกสักครั้ง อย่าปฏิเสธเหมือนทุก ๆ ครั้งเลยนะ แล้วไอ้ที่เพื่อนเลือกนายเป็นประธานเอกก็เพราะเพื่อนเห็นความสามารถบางอย่างที่นายทำได้ไง บางอย่างที่นายต้องทำมันได้และน่าจะทำได้ดีเชียวล่ะ และฉันก็เชื่อแบบที่เพื่อนนายเชื่อ ฟารีสลองกำจัดโรคนี้ด้วยการมองคุณค่าของตัวเองแล้วใช้คุณค่าเหล่านี้ข่มโรคร้ายนี้ให้ได้ แล้วนายจะมีความสุขจริง ๆ นะ" ฟารีสได้แต่อึ้งกับเหตุการณ์ตอนนี้ เขาตั้งสติตอบกลับไปว่า "แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันจะมีความสุข และไม่มีอาการบ้า ๆ เหล่านั้นขึ้นมา นายเคยรู้สึกเหรอ เคยเป็นเหรอ ก็ไม่เคยไง !" เพื่อนฟารีสว่ากลับอย่างรวดเร็ว "ฉันเคยไงฟารีส ! ฉันเคย ฉันเข้าใจทุกความรู้สึกในทุกครั้งที่นายรู้สึก ก็เพราะว่าฉันก็เป็นแพนิคเหมือนกับนาย" ฟารีสอึ้งทำอะไรไม่ถูก เห็นน้ำตาของเพื่อนไหลซึม "และฉันก็กำลังต่อสู้กับมันอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะทรมานมากก็ได้ ฉันไม่เคยคิดที่จะเป็นคนนำการประชุมเลยในชีวิต แต่ยิ่งฉันเป็นแบบเนี่ย ฉันยิ่งต้องรักษาให้มันหาย ฉันจะได้หายไปจากอาการบ้า ๆ นี่สักที นายรู้ไหมทุกครั้งที่ฉันต้องเข้ามาในห้องประชุมนี้ ฉันต้องไปฝึกหายใจไม่รู้กี่รอบ ฉันเหนื่อยและเหนื่อยมาก แต่ฉันอยากหายฉันจึงต้องทำมันต่อไปเรื่อย ๆ และฉันเชื่อว่าสักวันฉันจะหาย และนายก็ต้องหายเหมือนกัน นายพร้อมที่จะสู้ไปกับฉันไหม" ฟารีสน้ำตาเอ่อล้นในดวงตา ตาแดงก่ำใจเต้นรัวเร็ว แต่เป็นจังหวะการเต้นที่มีความดีใจแฝงอยู่ เขารู้สึกว่าเขาโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขามองหน้าคนตรงหน้า พยักหน้ายิ้มรื่นน้ำตาไหลอาบแก้ม พร้อมเอ่ยคำพูด "ได้สิ สู้ไปด้วยกันนะเพื่อน" ขอบคุณรูปภาพภาพปก โดย Bill Anderson-Blough / unsplashภาพที่ 1 โดย Jonah Pettrich / unsplashภาพที่ 2 โดย cestsibon / unsplashภาพที่ 3 โดย Michael Jasmund / unsplashภาพที่ 4 โดย Dylan Gillis / unsplashภาพที่ 5 โดย Jud Mackrill / unsplash ขอบคุณที่เข้ามาร่วมอ่านนะ ^ ^ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !