เรื่องเล่า การตกเครื่องแบบ Cool Cool การได้ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า และน่าจดจำ การไปท่องเที่ยวต่างประเทศก็เป็นความใฝ่ฝันของใครหลาย ๆ คนเช่นกัน ครั้งหนึ่งผู้เขียนจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่เมืองไทย แต่คนรู้ใจจะไปทำงานที่ออสเตรเลีย แต่ด้วยความที่เส้นทางอันยาวไกลจากประเทศสวีเดน ไปประเทศออสเตรเลีย ทางบริษัทเลยให้สิทธิ์พักผ่อนระหว่างทาง ความที่ผู้เขียนเป็นคนค่อนข้างระมัดระวังการใช้จ่าย แต่เห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ผู้เขียนเลยตกลงปลงใจกับคนรู้ใจว่าจะพักท่องเที่ยวที่ประเทศดูไบสัก 2-3 วัน และหลังจากนั้น ก็จะแยกย้ายปลายทางใคร ปลายทางมัน หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ก็จัดแจงจองตั๋วของสายการบินอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่สนามบินออลันด้า ประเทศสวีเดน ณ วันเดินทางแม้เป็นวันที่อากาศค่อนข้างแจ่มใส แต่ไม่รู้อะไรมาดลใจให้เครื่องบินดีเลย์ นั่งรอหนึ่งชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว จากเวลาบ่ายโมงกว่า จนถึงเวลาห้าโมงครึ่ง โดยไม่มีคำชี้แจงใดๆ ๆ จากทางสายการบิน ในช่วงจังหวะแห่งความชุลมุลวุ่นวาย ก็มีชายหญิงคู่หนึ่ง เดินถือป้ายพร้อมกับส่งสัญญาณให้ผู้เดินทางตั้งแถว ทุกคนกรูกันเข้ามาตั้งแถวอย่างรวดเร็ว แต่ทางแต่ผู้เขียนละคนรู้ใจ มัวแต่ยืนงง ในดงฝรั่ง เลยไปต่อแถวในคิวท้าย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบๆ ชั่วโมงก็มีชายหญิงอีกคู่หนึ่งมายืนตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาอังกฤษเป็นใจความว่า " คนที่ต้องการเดินทางไปเมืองไทย ให้เดินเข้าไปอีกช่องนึง" ผู้เขียนเห็นคนกรูไปช่องนั้น แต่ก็ยังงง งง เพราะอยู่ท้ายแถว ได้ยินไม่ไชัด แต่เมื่อจับประเด็นได้ ก็วิ่งตามเค้าไป กว่าจะผ่านsecurity ไปได้ กลุ่ม 50 คนแรกก็เดินลับตาไปแล้ว ผู้เขียนถามเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในสนามบิน แต่พวกนางก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้ ผู้เขียนเลยสุ่มเดินไปอีกทางนึง โชคยังพอมี ที่สายตาเหลือบไปเห็นคนใดคนนึงที่วิ่งกรูไปรอบแรก คราวนี้ไม่พลาด วิ่งตามเค้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่บนเครื่อง ทุกคนได้รับแจกน้ำหนึ่งขวด และครัวซองส์หนึ่งชิ้น เพื่อช่วยแก้ความหิวโหยอันยาวนาน ซึ่งสำหรับผู้เขียนควรจะได้กินส้มตำเผ็ดๆ จะเหมาะกว่า เพราะทั้งเหนื่อย ทั้งมึนหัว แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็พยายามกล้ำกลืนฝืนกินจนหมด ไปถึงสนามบินเวียนนาเวลาประมาณ ห้าทุ่มกว่า ซึ่งทุกคนมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงในการวิ่งไปที่เกตเพื่อไปต่อเครื่องไปเมืองไทย นักเดินทางส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่มก้อน หรือมาเป็นครอบครัว เมื่อไปถึงเกต ผู้เดินทางปกติคนสุดท้ายกำลังเดินขึ้นเครื่อง กลุ่มที่เดินทางมาจากสวีเดนยืนเข้าแถวอย่างไม่เป็นระเบียบ เพื่อรอให้สายการบินเช็คว่ามีที่เหลืออีกกี่ที่ หลังจากนั้น หัวแถวจากสวีเดนก็ทยอยเดินเข้าเครื่อง จนเมื่อเหลือ 10 คนสุดท้าย แต่ที่นั่งเหลืออีกแค่ 7 ที่ เจ้าหน้าที่ก็ชี้แจงว่า ให้ครอบครัวคนแก่ และเด็กขึ้นเครื่องไปก่อน ส่วนผู้เขียน และคู่รักชาวฟินลนด์ถูกปัดตกตามระเบียบ สรุปง่าย ๆ คือต้องรอบินไฟลทวันถัดไป แหม กว่าทุกอย่างจะคลี่คลายเวลาปาไปเข้าเที่ยงคืนกว่า ทั้งความเหนื่อยล้า ผนวกกับความผิดหวัง ผู้เขียนถึงกับหน้าสลด คู่รักชาวฟินแลนด์เดินมาตบไหล่เบา ๆ พร้อมกับพูดว่า " เธอไม่ต้องห่วง ชั้นจะช่วยเธอเอง" หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่แจ้งให้ไปติดต่อที่เค้าเตอร์ด้านนอก ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะเป็นหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือสำหรับคนตกเครื่อง ณ จุดนั้นเดินตามคู่รักชาวฟินแลนด์ไปเฉยๆ เมื่อไปถึงเค้าเตอร์ เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารการเดินทาง หลังจากนั้นก็ยื่นซองพลาสติกพร้อมกับซองขาวให้ ปากก็ชี้แจงถึงสิทธิ์ที่เราจะได้รับจากการตกเครื่องในครั้งนี้ ซึ่งสิทธิ์ที่ผู้เขียนได้รับในครั้งนี้คือ ซองพลาสติกที่ใส่อุปกรณ์จำเป็นเช่น เสื้อสีขาวหนึ่งตัว แปรงและยาสีฟัน แชมพูและสบู่อาบน้ำ บัตรเข้าพักโรงแรมใกล้ ๆ สนามบิน ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 แต่ดูจากคุณภาพแล้วน่าจะประมาณ 3-4 ดาว สิ่งที่เซอร์ไพรส์ผู้เขียนมาก ๆ คือซองสีขาวที่ได้รับ ในนั้นมีบัตรกดเงินสดจำนวณ 600 ยูโร ไหนๆ ก็ถูกปักตก แต่ได้มา 600 ยูโร สำหรับการเสียเวลาหนึ่งวัน ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เบรคฟาสต์ก็ของโรงแรม อาหารกลางวัน และอาหารเย็นคู่รักชาวฟินแลนด์เลี้ยงทุกรายการ ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือการได้เจอมิตรภาพที่ดีในระหว่างเดินทาง แบบนี้ไม่เรียก Cool จะเรียกอะไร?? ปล. สำหรับค่าชดเชยการตกเครื่องน่าจะมีการจ่ายชดเชยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป ที่เครื่องบินดีเลย์มากกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ผู้เดินทางต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของสนามบินโดยตรง และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ภาพปก และภาพที่ 1-2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 จากเว็บแคนวา ปลายฟ้า