เรื่องเล่า...สายภูเขาวัย 40+ ชีวิตโสดในวัย 40+ จะมีอะไรดีไปกว่าการแบ่งปันความทรงจำดีๆ เส้นทางที่ไม่คิดว่าจะได้ก้าวเดิน ทิวทัศน์ที่ไม่คิดว่าจะได้ชื่นชม เพื่อนใหม่ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ การตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ ก็คงเป็นเพราะสถานการณ์ที่เราเจอกันอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถเดินทางไหนมาไหน ไม่ได้ท่องเที่ยวเหมือนเคย พอรูปเก่าในเฟสบุคแจ้งเตือนขึ้นมาถึงการดินทางครั้งก่อน ก็ทำให้ได้ย้อนคิดถึงความทรงจำเหล่านั้น วันนี้เลยสบโอกาส เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟังถึงการเดินทางที่ผ่านมาร่วมปี...... “คินาบาลู” สายภูเขาหลายคนคงจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดี บางคนอาจจะเรียกว่าเป็น ”ภูเขาแห่งความตาย” อาจเพราะด้วยความสูงถึง 4,095 เมตร หรือเส้นทางการเดินป่าที่ทรหดก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเส้นทางเดินป่าที่หลายๆ คนเฝ้าฝัน เราก็เป็นคนหนึ่งเช่นกันที่ใฝ่ฝันจะได้ไปสักครั้ง พอมีคนชวนก็ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล หลังจากติดต่อเรื่องทริปการเดินทางเรียบร้อยก็ได้ฤกษ์ออกเดินทาง สองคนพี่น้องบวกหนึ่งลูกพี่ลูกน้อง กลายเป็นการเดินทางของสามใบไม่เถาอย่างเรา เราออกเดินทางด้วยเที่ยวบินตรงสู่รัฐซาร์บาห์ บนเกาะบอเนียว ประเทศมาเลเซีย และเข้าพักที่โรงแรมเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อว่ากันดาซัง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทางในวันรุ่งขึ้นที่เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างเพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะเดินป่า ส่วนใจน่ะ พร้อมนานแล้ว ก่อนเดินป่าของที่นี่จะต้องมีการรับบัตรประจำตัวนักท่องเที่ยวไปด้วย ถ้าทำบัตรหายเราจะไม่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้เลยเพราะฉะนั้นเก็บรักษากันไว้ดีๆ ที่น่าตื่นเต้นคือ มีชื่อเราอยู่บนบัตรด้วยล่ะ สามใบไม่เถาอย่างเราเริ่มออกเดินทางโดยมีไกด์ท้องถิ่นคอยนำทาง ซึ่งทริปนี้ต้องยกความดีความชอบให้ไกด์ ที่คอยช่วยเหลือทั้งผลักทั้งดันตลอด เส้นทางที่จัดได้ว่าโหดมีแต่ขึ้นกับขึ้น ขั้นบันไดอุทยานทำไว้ให้กับนักท่องเที่ยวกลับกลายเป็นจุดอ่อนของพวกเรา เพราะขั้นที่ค่อนข้างสูงทำให้ต้องออกแรงในการยกตัวขึ้นมากกว่าเดิม แต่ถึงแม้ว่าเส้นทางจะทรหด เราก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามระหว่างทางด้วยเช่นกัน จุดพักที่มีเป็นระยะๆ ทำให้เราได้พบกับเพื่อนตัวน้อยๆ อย่างกระรอกที่คอยจะมาขโมยเปิดกระเป๋าเพื่อหาขนมหรือของกินที่พกมา ราวๆ 5 ชั่วโมง กับระยะทาง 6 กิโลเมตร ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักบริเวณลาบันละตา ก่อนจะเตรียมตัวขึ้นยอดโลวพีคในวันรุ่งขึ้น ขาทั้งสองแทบจะหมดแรง ที่พักบนนี้ของพวกเราต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกเพราะอยู่สุงที่สุดในบรรดาที่พักทั้งหมด นึกถึงตอนนั้นแทบจะก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว ด้วยความที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น และน้ำสำหรับใช้สอยก็มีน้อย คงไม่ต้องบอกว่าเราสามคนน่ะช่วยกันประหยัดน้ำเต็มที่ด้วยการไม่อาบน้ำตลอดเวลาที่อยู่บนนั้น การเดินทางขึ้นสู่ยอดโลวพีค เริ่มขึ้นตอนตี 2 เนื่องจากเราต้องไปให้ถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น คงไม่ต้องบอกว่าเส้นทางตอนขึ้นเป็นอย่างไร มีแต่ขึ้น และขึ้น เช่นเดียวกับในช่วงแรกที่ผ่านมาเช่นกัน แต่จะยากลำบากกว่าก็ตรงที่เป็นตอนกลางคืน และเราก็มีแค่ไฟฉายคาดหัวกันคนละดวง สัมผัสได้แค่ความลาดชันของเส้นทางเท่านั้น บางช่วงเราต้องใต่ขึ้นไปตามเชือกเพราะจะได้ไม่หลงทาง แต่ถึงกระนั้น ยอดเขาก็เป็นอะไรที่ทำให้เราหายเหนื่อย คุ้มค่ากับการที่ฝ่าฟันอุปสรรค์ต่างๆ ขึ้นมา บรรยากาศที่หนาวเย็น ทิวทัศน์ของภูเขาหินที่สวยงามทำให้เราลืมความเหนื่อยล้าไปเลยทีเดียว นี่แหละคือสิ่งที่บอกเราว่าไม่ว่าจะผ่านอะไรมามากมายแค่ไหน แต่ความสำเร็จก็ยังสวยงามเสมอ ใครอยากตามรอยการเดินทางของเราก็ตามนี้เลยจ้า ~ การเดินทางระหว่างประเทศของพวกเรา เริ่มด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ซึ่งเป็นเที่ยวบินตรง ~ เพื่อความสะดวกในการติดต่ออุทยานแห่งชาติและที่พัก พวกเราซื้อแพ็คเกจจาก Green trekking แต่ก็ยังมีอีกหลายบริษัทให้เลือกกันตามสบาย หรือใครอยากไปกันเองก็ได้ไม่มีข้อแม้ ~ นอกจากอุปกรณ์เดินป่าที่ควรเตรียมไปแล้ว ต้องบอกเลยว่าใครที่จะไปควรเตรียมร่างกายให้พร้อม สควอชวันละร้อยครั้งแบบเรายังเอาไม่อยู่ Credit รูปภาพ : Manglugg