การเขียนเล่าเรื่องของเราจะเป็นการเล่าจากช่วงหลังที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ไปหาช่วงแรกที่ไปถึงฉงชิ่ง เพราะน่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ไวรัส Covid-19 ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ การบินกลับสู่ประเทศไทย การลงเครื่องที่สนามบิน การกักตัวเอง 14 วัน เพื่อรอดูว่ามีการติดเชื้อไวรัสหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดคือเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราเองจริง ๆ การกลับเมืองไทยของเราตามเวลาที่โครงการกำหนด คือวันที่ 30 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการอบรมของโครงการ โดยยังไม่เกิดสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า ทำให้พวกเราซื้อตั๋วกลับในราคาที่ค่อนข้างแพง เนื่องจากเป็นช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ของคนจีนที่เขาเตรียมซื้อทัวร์มาประเทศไทยกัน และที่สำคัญคือที่นั่งเต็มเกือบทุกเที่ยวบินในช่วงนั้น ทำให้พวกเราต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 บินกลับโดยสายการบินไทยสมายลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มของพวกเราบินกลับโดยสายการบินแอร์เอเชียลงเครื่องที่สนามบินดอนเมือง เราได้รับรู้ข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลหูเป่ย์ ประมาณเดือนธันวาคมหลังจากนั้นก็เริ่มมีข่าวผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่า ช่วงนั้นเรายังใช้ชีวิตอบรมตามปกติ เพราะเมืองฉงชิ่งที่เราอยู่ห่างจากเมืองอู่ฮั่นพันกว่ากิโลเมตร นอกจากนี้ ในช่วงสิ้นปีเรายังจัดโปรแกรมไปเที่ยวกันที่อู่หลง จากการเช็คสภาพอากาศว่าช่วงนั้นอากาศจะหนาวเย็นลงมากและจะมีหิมะตก อาจจะเนื่องมาจากสภาพอากาศที่เย็นลงตลอด ในที่สุดสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าเริ่มรุนแรงขึ้น หลังจากเทศกาลตรุษจีน พวกเราต้องหยุดกิจกรรมการอบรมบางส่วนไปและงดพิธีรับเกียรติบัตรอย่างเป็นทางการไปด้วย ร้านค้าต่างๆ ซึ่งปิดในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็ดูเหมือนจะปิดต่อไปอีกตามประกาศของรัฐบาล ส่วนพวกเราก็ต้องติดตามข่าวและประกาศของทางการจีนผ่าน WeChat ของผู้ประสานงานโครงการ ซึ่งส่งข้อความแจ้งพวกเรา ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ให้อยู่เฉพาะในที่พักโรงแรมและไม่ควรออกไปไหนหากไม่จำเป็น หากจำเป็นต้องไปข้างนอกให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินทางกลับไทย ประมาณวันที่ 27 มกราคม 2563 ทางการจีนก็ได้มีประกาศสั่งห้ามทัวร์จีนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่น่าที่จะเกี่ยวกับการเดินทางกลับไทยของพวกเราในวันที่ 30 มกราคม 2563 แต่ก็รู้สึกอดหวั่นๆ ไม่ได้กลัวจะไม่ได้กลับบ้านเหมือนกัน ช่วงระยะเวลานั้นทางการจีนก็เริ่มีการให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยในเวลาต้องออกไปข้างนอก ขึ้นรถบัวสาธารณะ ขึ้นรถไฟฟ้า เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต และเป็นช่วงที่หาซื้อหน้ากากอนามัยได้ยาก เนื่องจากร้านค้าทั่วไปปิด เราเองก็ได้มาประมาณ 7 อัน ซึ่งก็น่าจะพอใช้จนกลับถึงเมืองไทย วันขึ้นเครื่องบินกลับไทย แอร์เอเชียที่เรานั่งมามีผู้โดยสารคือพวกเรา 14 คน ผู้โดยสารอื่นอีก 4 คน รวมกัปตันและเจ้าหน้าที่บนสายการบิน 22 คน เหมือนเป็นการเหมาลำกลับไทย ที่ผ่านมาเวลาที่ขึ้นเครื่องบินเราไม่เคยเห็นที่นั่งว่างจากหัวเครื่องไปจนหางเครื่องแบบนี้เลย พอใกล้เวลาที่จะเช็คอิน ก่อนที่เราจะขึ้นเครื่องที่สนามบิน Chongqing Jiangbei International Airport จะมีเจ้าหน้าที่ ซึ่งน่าจะมาจากศูนย์ที่ดูแลเกี่ยวกับสุขภาพ มาตั้งโต๊ะด้านหน้าทางเข้า โดยที่พวกเราจะต้องผ่านขั้นตอน ดังนี้ ตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายต้องไม่เกิน 37 องศา จากนั้น ให้เรากรอกเอกสารเกี่ยวกับที่พักในฉงชิ่งและปลายทางที่เราจะเดินทางไป เสร็จเรียบร้อยเราจึงจะไปโหลดกระเป๋ากับเจ้าหน้าที่ ท้ายสุด ก่อนจะผ่าน ตม จะมีที่ตั้ง counter ซึ่งไม่มีเจ้าหน้าที่บริการ มีเพียงป้ายบอกว่าเราต้องทำอะไร พร้อมตัวอย่างเอกสารที่เราต้องกรอกด้วยตัวเอง ยืนยันการเดินทางของเราอีกครั้งและใส่ลงในช่องเก็บเอกสาร เมื่อเรียบร้อยเราจึงจะออกไปที่ Gate เพื่อขึ้นเครื่อง ซึ่งบอกเลยว่าเดินไกลเป็นกิโลเมตร ทั้งยังต้องสวมแมสตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเหนื่อยหอบกันทีเดียว ทุกคนที่จะไปขึ้นเครื่องต้องสวมหน้ากากอนามัยจนถึงเครื่องและต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง 3 ชั่วโมงจนกว่าจะลงจากเครื่องบิน ยกเว้นช่วงที่รับประทานอาหาร ซึ่งเป็นอาหารไทยแบบเหนือเมฆที่อร่อยที่สุดมื้อแรกของเราก็ว่าได้ เจ้าหน้าที่ทุกคนบนเครื่องก็จะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาจนกว่าจะส่งเราลงจากเครื่อง เมื่อเครื่องบิน Landing ที่สนามบินดอนเมือง มาตรการที่ท่าอากาศยานไทย น่าจะเป็นเรื่องของการให้เครื่องบินที่มาจากจีนลงจอดในจุดที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ เพราะเหมือนกับเรามีช่องทางเดินพิเศษ และผ่านโต๊ะของกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มีกาติดตั้งเทอร์โมสแกนตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ก่อนที่พวกเราจะไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ในทันทีที่เราถึงประเทศไทยก็มีข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือทันที ให้พวกเราหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นเวลา 14 วัน โดยไม่นับเป็นวันลาและให้อยู่ที่บ้าน ตามคำสั่งลงวันที่ 30 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่เรากลับถึงประเทศไทยตามเวลาที่กำหนดในโครงการ ซึ่งเราเองก็คาดเดากันไว้เช่นนั้น เนื่องจากพวกเรามาจากประเทศจีนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของไวรัสโคโรน่า ก่อนที่จะออกจากสนามบิน เราเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างมือให้สะอาด ทิ้งแมสที่ใช้ตลอดการเดินทางและเปลี่ยนแมสอันใหม่ก่อนที่จะมาขึ้นรถที่มารับ ส่วนที่บ้านเราเองก็มีการเตรียมการล่วงหน้าไว้ โดยใช้รถปิคอัพมารับ เพื่อวางกระเป๋าเดินทางและสัมภาระที่ลงจากเครื่องบินไว้ที่กระบะหลัง ส่วนตัวเราเองและคนที่มารับก็ใส่แมสตลอดจนถึงบ้าน เมื่อถึงบ้านเราตัดสินใจที่จะไม่เอาสัมภาระต่าง ๆ เข้าไปในตัวบ้าน แต่วางไว้ที่โรงรถและรื้อสิ่งของต่าง ๆ ในโรงรถที่มีหลังคาเป็นสังกะสี และเริ่มวางแผนทันทีในการกักตัวเอง 14 วัน ที่จะต้องอยู่ที่บ้าน เนื่องจากที่บ้านมีคุณยายวัย 85 ปี ซึ่งเป็นผู้สูงอายุอยู่ด้วย ดังนั้น สิ่งที่ต้องให้พร้อม คือการเตรียมแมส ปรอทวัดไข้ อุปกรณ์และของใช้ส่วนตัวที่ไม่ให้ปะปนกับคนอื่น ๆ และเตรียมพื้นที่ที่จะต้องอยู่ในบ้านแบบเว้นระยะห่างจากทุกคน โดยเฉพาะคุณยาย หากคุณยายอยู่ชั้นล่าง เราก็จะขึ้นไปอยู่ชั้นบนของบ้านและถ้าคุณยายอยู่ชั้นบนเราก็จะมาอยู่ชั้นล่าง 14 วันที่เราต้องกักตัวเอง เราถือว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวอันยิ่งใหญ่ที่พึงปฏิบัติเพื่อตัวเอง เพื่อสมาชิกในครอบครัวและเป็นถือปฏิบัติตามคำสั่งของทางราชการอย่างเคร่งครัด เนื่องจากเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าเราจะมีโอกาสติดเชื้อหรือเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสโคโรน่ามาถึงคนอื่นหรือไม่ ชีวิตในช่วงเวลา 14 วัน สำหรับเรา ไม่ยุ่งยากและไม่ได้ไปอยู่ในสถานที่ใด ๆ เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่ได้มีกระแสข่าวอะไรมากมาย และเราก็เป็นกลุ่มคนไทยที่บินกลับมาเองจากฉงชิ่งผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ ก่อนหน้าที่จะมีประเด็นข่าวของคนไทยจากอู่ฮั่นขอกลับไทย หากใครที่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการกักตัวเอง 14 วันของเรา คงต้องคอยติดตามอ่าน เรื่องเล่าจากฉงชิ่งในตอนต่อ ๆ ไป ภาพถ่ายในบทความเป็นของผู้เขียนทั้งสิ้น