ช่วงปลายเดือนมกราคม 2563 เรายังอยู่ระหว่างการอบรมโครงการเส้นทางสายไหมเกี่ยวกับ E-Commerce ที่เมืองฉงชิ่ง ในประเทศจีน หลายคนอาจจะคิดถึงความน่ากลัวของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า แต่สำหรับเราคือช่วงเวลาที่ได้พักจากกิจกรรมทุกอย่างในตารางอบรมที่กำหนดไว้ แม้ว่าเมืองฉงชิ่งจะไกลจากเมืองอู่ฮั่นถึงพันกว่ากิโลเมตรก็ตาม แต่ทางการจีนมีประกาศห้ามมิให้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการรวมกลุ่มเพื่อความปลอดภัยจากการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า สำหรับคนไทยจะมีประกาศจากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉินตู ลงวันที่ 22 มกราคม 2563 เตือนชาวไทยติดตามสถานการณ์และมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ให้ประชาชนและชาวต่างชาติที่พำนักในมณฑลเสฉวนและมหานครฉงชิ่งป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากและสถานที่ที่มีความแออัด ล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดบ้านพักอาศัย โดยหากพบว่ามีอาการไข้สูงให้รีบพบแพทย์ทันที และให้เบอร์ hotline ของสถานกงศุลใหญ่เพื่อติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น เราจึงเก็บตัวอยู่กันเฉย ๆ ในโรงแรมที่พัก ประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ก่อนกลับเมืองไทย สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อลุกจากเตียงทุกเช้าในช่วงเวลานั้น คือต้องรีบไปส่องที่หน้าต่าง เพื่อประเมินสถานการณ์ภายนอกทั่วไปแบบง่าย ๆ โดยจะมองไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรม ดูคนที่มาเดินออกกำลังกายซึ่งนับจำนวนได้ มองถนนที่มีรถวิ่งแบบนับคันได้ มองไกลไปจนถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด (University Town Station) ที่ดูเงียบมาก โชคดีที่เราพักอยู่บนชั้นที่ 26 ซึ่งทำให้เรามองเห็นได้ไกลมาก ซึ่งเราไม่รู้ว่าผู้คนหายไปไหนกัน บ้านเรือนและร้านค้าส่วนใหญ่ปิดกันเกือบหมด ถนนหนทางเงียบเหงา แม้ว่าผู้คนยังสามารถออกไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ได้ ขึ้นรถไฟฟ้าสาธารณะได้แต่น่าจะเดินทางข้ามเมืองไม่ได้ สำหรับตัวเราเองทุกวันจะต้องลงไปเดินที่สวนสาธารณะ อย่างน้อยก็ให้รู้สึกว่าไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก ออกไปซื้ออาหารทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องตุนอาหาร เนื่องจากยังพอมีร้านอาหารเปิดให้บริการอยู่บ้าง บางวันก็เดินไปซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อขนมและผลไม้ และเมื่อใดก็ตามที่จะออกไปข้างนอก สิ่งที่ห้ามลืมโดยเด็ดขาดคือหน้ากากอนามัย เพราะร้านค้าส่วนใหญ่และซุปเปอร์มาร์เก็ตจะไม่อนุญาตให้คนที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยเข้าไปซื้อของ แม้จะมีพนักงานยืนรอตรวจเช็คอุณหภูมิของร่างกายอยู่แล้วก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือกลับเข้าโรงแรมที่พักของตัวเองก็ไม่ได้ด้วย เนื่องจากมีป้ายประกาศของทางการติดไว้เป็นข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในทุกสถานที่ เมื่อกลับถึงที่พักสิ่งที่ต้องปฏิบัติทันทีคือเข้าห้องน้ำล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ แม้ว่าจะมีคนแนะนำให้เก็บมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวเมื่ออยู่ข้างนอกเพราะอากาศจะหนาวเย็นอยู่ที่ 6 - 9 องศา ซึ่งนอกจากจะทำให้มืออบอุ่นแล้ว มือของเราจะไม่ต้องสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ที่อาจมีเชื้อโรค แต่โดยส่วนตัวเราจะรีบอาบน้ำอุ่นให้สบายตัว ซึ่งบอกเลยว่าน้ำที่โรงแรมนี้ไหลแรงและอุ่นจัดจนร้อน หากแต่สาระสำคัญคือการอาบน้ำอุ่นจะช่วยให้ร่างกายสะอาดปลอดภัยจากเชื้อโรค นอกจากนี้ สิ่งที่อาจจะทำให้เราห่างไกลไวรัสโคโรน่าคือการที่เราได้กินผลไม้สดที่หลากหลายในแต่ละวันและมีราคาไม่แพง เพราะคนที่นี่นิยมซื้อผลไม้ที่ปอกหรือหั่นแล้วโดยคีบใส่กล่องตามที่ตัวเองชอบ คิดเงินด้วยการชั่งน้ำหนัก เช่น ทับทิม สตอร์เบอรี่ แอ๊ปเปิ้ล ส้ม กีวี เชอรี่ ล้วนแล้วแต่วิตามินซีสูงทั้งนั้น ท้ายที่สุดไม่ว่าสถานการณ์ในที่ที่เราอยู่จะเป็นอย่างไร น่าจะอยู่ที่การดูแลตัวเราเองด้วยความตระหนักรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ปกป้องและรักษาตัวเองให้ปลอดภัย สำหรับตัวเราเอง สิ่งหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศที่เมืองฉงชิ่งในช่วงที่ต้องอยู่เก็บตัวเฉย ๆ กลับมีความสุขมากมายและผกผันกับสถานการณ์ที่ดูเงียบเหงาคือความสวยสดงดงามของดอกเหมยในสวนสาธารณะที่อยู่ตรงข้างโรงแรมซึ่งบานเต็มต้นและส่งกลิ่นหอมอบอวลสร้างพลังและความสุขใจในทุกวันที่เราได้ไปเดินเล่น เนื้อหาและภาพโดยผู้เขียน